ทำงานหลังผ่าคลอด ควรกี่เดือนขึ้นไป กับเรื่องที่คุณแม่ต้องรู้

ทำงานหลังผ่าคลอด สำหรับการคลอดที่ไม่ปกติ คุณแม่ที่ผ่านการผ่าคลอดมานั้น ร่างกายอาจจะฟื้นตัวได้ช้ากว่าการคลอดแบบปกติ คุณแม่ที่จำเป็นต้องผ่าคลอด อาจจะต้องดูแลสุขภาพร่างกายของตัวเองให้นานกว่า เพื่อให้ร่างกายกลับมาแข็งแรงสมบูรณ์เช่นดังเดิม สำหรับคุณแม่มือใหม่ที่กำลังสงสัยอยู่ ก็คือ หลังผ่าคลอดกี่เดือน ถึงจะสามารถทำงานได้ตามปกติได้ มาหาคำตอบไปพร้อม ๆ กันเลยค่ะ

ทำงานหลังผ่าคลอด

การผ่าคลอดนั้น เป็นการผ่าตัดคลอดทารกออกมาทางหน้าท้อง บริเวณส่วนด้านล่างของมดลูกค่ะ ในปัจจุบันมีคุณแม่หลายท่านที่นิยมวิธีการผ่าคลอดมาก เนื่องจากแพทย์จะให้ยาชา ซึ่งเจ็บน้อยกว่าการเบ่งคลอดตามธรรมชาติ และยังสามารถเลือกกฤกษ์วันเกิดที่ดีให้กับลูกได้อีกด้วย รวมถึงยังช่วยอำนวยความสะดวกให้กับคุณแม่ที่มีปัญหา หรือมีเหตุจำเป็นต้องคลอดโดยการผ่าคลอด แต่สำหรับคุณแม่ที่มีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ลูกมีสุขภาพแข็งแรง แนะนำให้คลอดแบบธรรมดาจะดีที่สุดค่ะ

โดยปกติแล้ว หลังจากการผ่าคลอดลูก คุณแม่หลาย ๆ คนมีความจำเป็นต้องไปทำงาน ในช่วงหลัง 3 เดือนไปแล้ว จึงเกิดข้อสงสัยว่า แล้วถ้าต้องผ่าคลอด จะต้องพักฟื้นกี่เดือนถึงจะสามารถกลับไปทำงานหนักได้ อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่า ร่างกายของคุณแม่ผ่าคลอดนั้นต้องการเวลาพักฟื้นมากกว่าการคลอดแบบทั่วไป เพราะการผ่าคลอดจะทำให้เกิดแผลที่หน้าท้อง และแผลในชั้นกล้ามเนื้อท้องที่ถูกผ่าออก ทำให้ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้องลดลง และหากคุณหมอเย็บไม่เรียบร้อย ก็จะทำให้ผนังหน้าท้องหย่อนยาน และมีแผลเป็นที่มดลูกได้

อาการที่พบบ่อย หลังผ่าตัดคลอดบุตร

ปวดหัวหน่าว ปวดอวัยวะเพศ

คุณแม่บางคน ไม่ได้คลอดเอง แต่ทำไมรู้สึกปวดหัวหน่าว ปวดอวัยะเพศ บางคนปวดแผล เสียวบริเวณแผลผ่าคลอด นานหลายเดือน นั่นเพราะหลังผ่าตัดคลอด ในช่วงระยะแรก ๆ คุณหมอจะสั่งให้ยากระตุ้นการบีบตัวของมดลูกหยดเข้าสู่กระแสเลือดทางหลอดเลือดดำ เพื่อป้องกันการตกเลือดหลังคลอด ซึ่งยาตัวนี้ให้มดลูกบีบตัวแรง เพื่อหยุดเลือดที่ออกทางช่องคลอด และขับน้ำคาวปลาออกมา จึงทำให้คุณแม่รู้สึกปวดหัวหน่าว โดยลักษณะปวดบีบเป็นพัก ๆ ร้าวลงหัวหน่าวได้ เมื่อหมดฤทธิ์ อาการเหล่านี้ จะบรรเทาลง หลังจากนั้น บางเวลาที่ลูกดูดนม คุณแม่จะหลั่งฮอร์โมนกระตุ้นน้ำนมจากต่อมใต้สมอง ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นให้มดลูกบีบตัวเพิ่มขึ้นได้ค่ะ

อาการอืดแน่นท้อง เรอบ่อย

ในช่วง 1 – 2 วันแรกคุณแม่จะมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านสรีระหลายประการ คุณแม่บางคนจะมีอาการแน่นท้อง เรอบ่อย เนื่องจากลำไส้ยังกลับมาทำงานได้อย่างไม่เต็มที่ ร่างกายของคุณแม่จะเริ่มฟื้นตัว ลุกเดิน ลำไส้จะกลับมาทำงานได้ดี และอาการท้องอืดลดลง นอกจากนี้ ช่วงใกล้คลอดจะมีการยืดขยายของเอ็น หรือพังผืดที่ยึดติดกระดูเชิงกราน และกระดูกหัวหน่าว ส่งผลให้ช่องเชิงกรายขยายขนาดเพื่อรองรับการเบ่งคลอด ซึ่งคุณแม่บางคนจะรู้สึกเจ็บบริเวณหัวหน่าวในขณะเดิน ลุกยืน หรือเปลี่ยนท่าทาง นั่นเพราะกระดูกอ่อนของหัวหน่าวอักเสบนั่นเอง สามารถพบได้บ่อย กว่าคุณแม่ที่คลอดเองตามธรรมชาติ

ปวดเสียวบริเวณแผลผ่าตัด

ปกติเมื่อคุณแม่ผ่าคลอดได้ 1 สัปดาห์แรกหลังผ่าตัด จะเป็นช่วงที่แผลภายนอกเริ่มสมานติดกันสนิทจะยังไม่มีอาการเสียว แต่ช่วงนี้บาดแผลสามารถโดนน้ำได้ แต่ถ้าเมื่อมดลูกมีการหดรั้งตัวของแผลเพิ่ม จึงเริ่มสร้างรอยแผลเป็น บางคนมีการหนาของแผลเป็นมากขึ้น มีแผลอักเสบแดง ทำให้มีอาการเสียวของแผลผ่าคลอดได้มาก การรักษาจะใช้ยาป้ายลดรอยแผลเฉพาะจุด เพื่อความปลอดภัย คุณแม่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาป้าย และรับคำแนะนำวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้อง

ช่วงเวลาที่สามารถทำงานหนักได้

หลังจากคุณแม่ผ่าคลอดแล้ว ส่วนมากจะฟื้นตัวได้ภายใน 2 ชั่วโมง และสมารถออกจากโรงพยาบาลได้ภายใน 5 วัน และแผลผ่าคลอดจะต้องใช้เวลารักษาบาดแผลภายนอกให้ติดกัน ภายใน 1 สัปดาห์ ซึ่งในช่วงระหว่างนี้คุณแม่สามารถทำกิจกรรมเบา ๆ อย่างเช่น งานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ค่ะ แต่ไม่ควรยกของหนักในช่วงนี้ เนื่องจากแผลผ่าตัดหน้าท้องต้องใช้ระยะเวลาในการสมานแผล และซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง หากคุณแม่ฝืนออกแรงยกของหนัก จะทำให้ กล้ามเนื้อบริเวณหน้าท้องเกิดอาการเกร็ง จนทำให้แผลผ่าคลอด หรือมดลูกกระทบกระเทือนได้ แผลอาจปริและฉีกขาด ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกายของคุณแม่อย่างมาก ต้องระวังนะคะ

หลังจากผ่าคลอดไปแล้ว 1 เดือน ทั้งแผลผ่าคลอด และมดลูกจะเริ่มกลับมาเข้าที่ คุณแม่สามารถออกกำลังกาย หรือทำกายบริหารเพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูสภาพให้กลับมาแข็งแรง โดยการบริหารร่างกายครั้งละ 15 นาทีต่อวัน จากนั้นใช้เวลาประมาณ 6 สัปดาห์ค่ะ รอบแผลจากการผ่าตัดคลอดก็จะหายเป็นปกติ ใช้เวลาอีก 12 สัปดาห์ หรือ 3 เดือน คุณแม่ก็สามรถเริ่มยกของหนักได้ สามารถทำงานหนักได้ และสามารถกลับไปทำงานได้ตามปกติ รวมถึงสามารถออกแรงในกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่อีกด้วย ถึงแม้ว่า แผลผ่าคลอดจะหายดีแล้ว จนสามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้อย่างเป็นปกติ แต่อย่างไรก็ตาม อย่าลืมดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงสมบูรณ์อยู่เสมอ เพื่อเตรียมความพร้อมในการเลี้ยงดูกลูกน้อยให้ฉลาดสมวัยได้