โรคยอดฮิตชนิดหนึ่ง ที่พบได้บ่อยในเด็กที่มีอายุน้อยกว่า 10 ปี อย่าง โรค ต่อมทอนซิลอักเสบ แม้อาการที่แสดงออกดูคล้ายกับการเป็นไข้หวัดเจ็บคอทั่วไป แต่ถ้าปล่อยไว้อาจทำให้อาการแย่ลง จนอาจเกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาได้ ดังนั้นวันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับโรคต่อมทอนซิลอักเสบกัน รวมทั้งวิธีการดูแลรักษาที่ถูกต้องด้วย
ต่อมทอนซิลอักเสบ คืออะไร
ต่อมทอนซิลอักเสบ คือการอักเสบของต่อมทอนซิลที่อยู่ด้านซ้ายและด้านขวาบริเวณด้านหลังของลำคอ ซึ่งปกติมีหน้าที่กำจัดเชื้อโรคที่เข้าสู่ลำคอหรือระบบหายใจ การอักเสบของต่อมทอนซิลส่วนใหญ่มักเกิดจากการติดเชื้อไวรัส หรืออาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรียได้บ้าง โดยโรคนี้ติดต่อกันได้ง่ายผ่านการหายใจหรือการสัมผัสโดนน้ำลายหรือเสมหะของผู้ป่วย และพบว่าเป็นผู้ป่วยในวัยเด็กมากกว่าผู้ใหญ่
อาการ ต่อมทอนซิลอักเสบ ที่แสดงให้รู้ว่าลูกป่วย
เนื่องจากอาการเจ็บป่วยในเด็กแต่ละคนจะแตกต่างกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับเชื้อโรคที่ได้รับ ดังนั้นมาดูกันว่าอาการแบบไหนบ้างที่แสดงว่าลูกกำลังป่วย
1.ต่อมทอนซิลอักเสบจากเชื้อไวรัส
ผู้ป่วยมักเป็นเด็กก่อนวัยเรียน โดยมีอาการดังนี้ เจ็บคอเล็กน้อยถึงปานกลาง แต่ยังกลืนอาหารได้ และมีอาการไอ คัดจมูก เสียงแหบ มีไข้หรืออาจไม่มี ปวดหัว ตาแดง อาจมีถ่ายท้องร่วมด้วย ส่วนต่อมทอนซิลจะมีอาการแดงและโตเพียงเล็กน้อย
2.ต่อมทอนซิลอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย
ผู้ป่วยเป็นเด็กในวัยเรียนและผู้ใหญ่ โดยอาการจะรุนแรงกว่า กล่าวคือ ผู้ป่วยจะเจ็บคอมากจนกลืนอาหารและน้ำลำบาก เนื่องจากทอนซิลโตและบวมแดงมาก รวมทั้งมีจุดขาวเป็นหนองที่ทอนซิลด้วย นอกจากนี้มักมีไข้สูงแบบฉับพลัน ทำให้หนาวสั่น ร่วมกับอาการอื่นๆ เช่นปวดหัว ปวดท้อง ปวดหู อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร มีน้ำมูก ไอ ตาแดง และในเด็กเล็กอาจมีน้ำลายไหลเนื่องจากไม่สามารถกลืนน้ำลายได้
ควรดูแลรักษาอย่างไร
เมื่อลูกน้อยเป็นต่อมทอนซิลมีอาการอักเสบ จะต้องดูแลรักษาให้ถูกวิธี เพื่อให้หายจากอาการป่วยเร็วขึ้น โดยมีวิธีการดูแลรักษาดังนี้
1.ต่อมทอนซิลอักเสบจากเชื้อไวรัส
การรักษาต่อมทอนซิลอักเสบจากเชื้อไวรัสนั้น แพทย์จะจ่ายยาให้ตามอาการที่เกิดขึ้น เช่น ยาแก้ไข้ ยาแก้ไอ ซึ่งคนไข้จะหายได้เองภายใน 7-10 วัน แต่คุณแม่สามารถดูแลลูกเบื้องต้นได้เอง โดยให้ลูกหยุดเรียน เพื่อให้ลูกได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ และเมื่อลูกมีไข้ขึ้น ให้ทานยาพาราเซตามอล ร่วมกับการเช็ดตัวเมื่อมีไข้สูง ดื่มน้ำเยอะๆ ร่วมกับกลั้วคอด้วยน้ำเกลือหรือให้อมยาแก้ระคายคอในเด็กที่มีอายุ 4 ปีขึ้นไป ส่วนอาหารควรเป็นอาหารอ่อนๆ เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม นม และถ้าคุณแม่พบว่าลูกยังมีไข้ติดต่อกันเกิน 2-3 วัน หรืออาการต่างๆ แย่ลง เช่น กลืนอาหารลำบาก อ่อนเพลียมาก หายใจหอบ คุณแม่ควรรีบพาลูกมาพบแพทย์โดยด่วน
2.ต่อมทอนซิลอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย
เมื่อเป็นต่อมทอนซิลอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย แพทย์จะจ่ายยาปฏิชีวนะให้ โดยอาจจะเป็นยากลุ่มเพนิซิลลิน (Penicillin) หรือเป็นยาในกลุ่มอิริโธรมัยซิน (Erythromycin) และต้องทานติดต่อกันเป็นเวลา 7-10 วัน ดังนั้นคุณแม่จึงควรปฏิบัติตามคำแนะนำของหมออย่างเคร่งครัด เพราะเชื้อแบคทีเรียอาจดื้อยา และทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาได้ เช่น การติดเชื้ออย่างรุนแรงที่ไต และไข้รูมาติก
วิธีการป้องกันลูกน้อย จากโรคนี้
ไม่อยากให้ลูกป่วยเป็นโรคนี้ ก็ต้องดูแลป้องกันอย่างถูกวิธี ซึ่งจะป้องกันได้อย่างไรก็ต้องมาดูกันเลย
- ควรให้ลูกได้ทานอาหารครบ 5 หมู่ และดื่มน้ำเปล่ามากๆ
- หมั่นล้างมือบ่อยๆ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหารและหลังจากเข้าห้องน้ำ
- ควรให้ลูกนอนหลับพักผ่อนในแต่ละวันอย่างเพียงพอ
- ไม่พาลูกไปคลุกคลีกับผู้ป่วยที่เป็นโรคอยู่แล้ว หรือใช้ของร่วมกับผู้ป่วย เช่น ผ้าเช็ดตัว จาน ช้อน แก้วน้ำ
- พาลูกออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกาย
- สอนให้ลูกใช้ผ้าปิดปาก เมื่อไอและจาม
เพราะลูกยังมีภูมิคุ้มกันไม่ดีพอ ดังนั้นจึงติดเชื้อโรคต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย คุณแม่เองจึงต้องเตรียมพร้อมรับมือเมื่อยามที่ลูกเจ็บป่วย แต่คงจะดีกว่าถ้าคุณแม่รู้จักป้องกันลูกให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ
= = = = = = = = = = = =
ติดตามความรู้ดี ๆ และสาระดี ๆ เพิ่มเติม สำหรับแม่ตั้งครรภ์ และลูกน้อย ได้ที่ www.konthong.com หรือ ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน ได้ที่
https://www.facebook.com/teamkonthong/
We promise to provide the knowledge and know-how for new mom. More and more solutions about how can you grow up your baby. Feel free to contact us if any problems have occurred or have any questions you would like to know. Don’t forget to follow and keep in touch with us on Facebook
https://www.facebook.com/teamkonthong/
บทความน่ารู้ เพิ่มเติม คลิกเลย …..
1.เล่าประสบการณ์ คลอดลูกแบบธรรมชาติ ที่ไม่มีวันลืม
2.ฝากถึงคนบนฟ้า ขอบคุณนะที่ทิ้งของขวัญล้ำค่าไว้ให้ สัญญาจะดูแลให้ดีที่สุด