อีกหนึ่งเรื่องราวของคุณแม่ทางบ้าน เมื่อ ลูกในครรภ์เสียชีวิต โดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้าสลดสำหรับคุณแม่เป็นอย่างมาก คุณแม่ท่านนี้จึงได้มาแชร์ประสบการณ์เพื่อเป็นอุทาหรณ์สำหรับคุณแม่ท่านอื่นกัน โดยจะมีเรื่องราวอย่างไร ก็ลองไปติดตามประสบการณ์แชร์จากคุณแม่ท่านนี้กันเลยค่ะ
แชร์ประสบการณ์ ลูกในครรภ์เสียชีวิต ไม่ทราบสาเหตุ
เป็นเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดในชีวิตค่ะ ผ่านมาได้ 2 เดือนกว่าๆ ทำใจได้บ้างแล้ว สุขภาพจิตดีขึ้นเลยสามารถมาเขียนแชร์ประสบการณ์ให้กับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ใกล้คลอดให้ระมัดระวังและสังเกตุการดิ้นของลูกค่ะ
สำหรับท้องนี้เป็นท้องแรกดิฉันอายุ 34 สามี 38 เป็นความตั้งใจที่เราคิดว่าพร้อมและอยากมีลูก ก่อนตั้งครรภ์เรากับสามีกันไปตรวจสุขภาพเตรียมความพร้อมผลออกมาทุกอย่างปกติ มีเพียงผลเลือดซึ่งเรามีแฝงธาลัสซีเมียแต่สามีปกติไม่มีแฝงใดๆ หมอก็เลยบอกว่าหมดปัญหาสามารถตั้งครรภ์ได้ปกติ หลังจากตรวจร่างกายทุกอย่างโอเคจึงปล่อยเดือนเดียวก็ติดเลยค่ะ ไปฝากท้องครั้งแรกได้ 6w ไปฝากที่คลีนิค (ซึ่งเป็นคลีนิคที่มีบรรดาอาจารย์หมอมาเปิดช่วงเย็นและเสา-ทิตย์) หลังจากนั้นก็ไปตามนัดทุกครั้ง ผ่านการตรวจเบาหวาน ความดัน คัดกรองดาว์นฯ (แต่ไม่ได้เจาะน้ำคร่ำนะคะ) ทุกๆขั้นตอนเป็นไปโดยราบรื่น นน.อะไรต่างๆของน้องเป็นตามเกณฑ์ทุกอย่าง เราก็ตั้งใจว่าจะคลอดเอง พออายุครรภ์ได้ 34w ซึ่งก็ใกล้คลอดแล้ว 8 เดือนกว่าเราต้องเลิอกว่าจะคลอดที่ รพ.ไหน ก็ตัดสินใจเป็น รพ.รัฐ ใหญ่ที่สุดจังหวัด เราก็ไปดำเนินการตามขั้นตอนของ รพ.ทุกอย่าง ซึ่งมาที่นี่หมอนัดถี่สัปดาห์ละครั้ง แต่ละครั้งที่ไปไม่เคยได้อัลตร้าซาวน์ มีเพียงหมอมาวัดขนาดท้อง และฟังคลื่นหัวใจของลูกซึ่งบางครั้งก็ใช้การฟังจากสายที่เสียบหู บางครั้งก็ใช้เครื่อง แต่เราไม่เคยเห็นลูกในจออัลตร้าซาวน์เลย ซึ่งก็ไม่ได้คิดอะไรมากเพราะลูกก็ยังดิ้นปกติ
พอมาถึงวันที่ 16 มีค.(38w+4) เป็นวันที่หมอนัดเราก็ไปตามนัด ก็มีอาจารย์หมอและเหมือนจะเป็นการสอนให้หมออีกคนหัดฟังคลื่นหัวใจลูก (หมอฝึกหัด) แต่ก็มีอาจารย์หมอคนนี้อยู่ด้วยตลอด คนที่ฝากท้องกับรพ.ทีนี่ต้องตรวจกับหมอเวรทั้งหมด ไม่ใช่เจอหมอคนเดียวจนคลอด เราก็ไม่ได้คิดอะไรมากเพราะหมอบอกเราแข็งแรง ความดันปกติ ภาวะเบาหวานก็ไม่มี ภาวะแทรกซ้อนอย่างอื่นก็ไม่มี มีเพียงเรื่องเดียวที่โดนตำหนิก็คือ นน.ของเราขึ้นมา 21 กก.
วันที่ 17 มีค. เป็นวันศุกร์ เรายังไปทำงานอยู่และก็แจ้ง email ให้กับทุกคนว่าอาทิตย์จะลาคลอดแล้วมาทำงานวันนี้อีก 1 วัน อาการที่รู้สึกก็คือลูกดิ้นน้อยลงไม่เหมือนวันก่อนๆ ซึ่งคุณหมอก็บอกว่าเป็นอาการปกติเพราะเด็กเค้าตัวโตเต็มมดลูกพื้นที่ดิ้นของเค้าจะน้อยลงดังนั้นช่วงใกล้คลอดเค้าจึงดิ้นน้อยลงเป็นธรรมดา ส่วนตัวเราก็ไม่มีอาการใดๆ ไม่มีเลือดออก น้ำไม่เดิน มีท้องแข็งบ้างแต่ก็เป็นอาการปกติของคนใกล้คลอด เราก็ไม่ได้เอะใจอะไร
พอมาเช้าวันเสาร์ 18 มีค.ตื่นมาเราก็รู้สึกทำไมลูกเงียบจัง กินข้าวกินน้ำไปก็เงียบ ใจไม่ดีละทีนี้ให้สามีพาไป รพ. พอไปถึงหมอก็ให้นอนบนเตียง เอาเครื่องอัลตร้าซาวน์มาวัดต่างๆ แล้วก็ไปเรียกหมออีกคนมาดูแต่หมอก็ไม่ได้แสดงสีหน้าผิดปกติใดๆ เราก็คิดว่าไม่มีอะไรเครื่องอัลตร้าซาวน์มีปัญหาอะไรหรือเปล่า ไม่ได้คิดในทางไม่ดีและไม่ได้เผื่อใจในทางเลวร้ายไว้เลย สักพักหมอก็มาจับแขนเราแล้วบอกเราอย่างตั้งใจว่า “เสียใจด้วยนะคะคุณแม่หัวใจลูกไม่เต้นแล้ว” เป็นประโยคที่ทำให้เราพูดอะไรไม่ได้ ไม่มีน้ำตา ได้แต่อึ้ง ครุ่นคิดต่างๆนาๆ ในหัวมีแต่คำถาม ทำไม ทำไม ทำไมต้องเป็นเรา เพิ่งมาหาหมอเมื่อ พฤ ที่ผ่านมานี่เองหัวใจก็ยังเต้นปกตินี่ สักพักสามีก็เข้าเพราะหาที่จอดรถลำบาก พอเห็นหน้าสามีเท่านั้นแหล่ะ น้ำตาพรั่งพรู ได้แต่กอดกันร้องไห้จนคุณหมอเข้ามาบอกว่าจะให้เรา admit เพื่อเร่งคลอดวันนี้เลย
18 มีค. เวลา 6 โมงเย็น หมอเหน็บยาให้ครั้งแรก เหน็บยาเพื่อให้ปากมดลูกอ่อนและบางลง ต้องเหน็บทุก 6 ชม.เราก็นอนและหมอก็เหน็บให้เรื่อยๆ ยังไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดใดๆ
จนกระทั่งถึงเที่ยงวันที่ 19 มีค.รู้สึกปวดท้องเหมือนปวดประจำเดือน แต่ปวดเป็นระยะๆ มันเป็นอาการมดลูกบีบตัวแต่ยังทนได้ปวดทุก 5 นาที ก็ยังนั่งกินข้าวคุยกับญาติๆ ที่มาเยี่ยมปกติ
พอสักช่วง 6 โมงเย็นเริ่มปวดหนักขึ้นทุก 3-4 นาที ปวดมากจนบอกหมอว่าไม่ไหวแล้วมียาแก้ปวดอะไรหรือเปล่า หมอเลยให้ฉีดมอร์ฟีนแล้วบอกให้เราพยายามหลับ ฉีดมอร์ฟีนทำให้หัวโล่ง ร่างกายส่วนบนก็เบาคือมันผ่อนคลายหมดยกเว้นตรงท้องคือก็ยังรู้สึกปวดอยู่ตลอดหลับไม่ได้หรอกค่ะ พยาบาลก็บอกว่า case เราต้องปวดท้องมากกว่าคนที่เค้าปวดท้องมาแล้วจากบ้านเพราะเราเร่งคลอดตั้งแต่ปากมดลูกยังไม่เปิดซัก cm แต่คนที่เค้าปวดท้องปกติมาจากบ้านปากมดลูกเค้าเปิดรอแล้ว 2-3 cm ก็ต้องอดทนต่อไป
ตั้งแต่เที่ยงคืนของวันที่ 19 จนถึง 6 โมงเช้าของวันที่ 20 มีค. เป็นการปวดที่ทรมานที่สุด สามีต้องลุกมานวดตรงก้นให้ทุกครั้งที่เราร้องครวญคราง ขอร้องให้คุณหมอผ่าคลอด คุณหมอก็มาอธิบายเหตุผลต่างๆนาๆ ว่าคลอดเองดีที่สุด เพราะหลังคลอดร่างกายจะฟื้นเร็วและเราก็จะสามารถท้องใหม่ได้เร็วกว่าการผ่าคลอด และอีกอย่างถ้าผ่าคลอดมันเหมือนเราใช้สิทธิการผ่าไปแล้ว 1 ครั้งเพราะส่วนใหญ่คนผ่าคลอดจะท้องได้ประมาณ 2 ครั้ง หมอกลัวเราเสียสิทธิ์ตรงนี้ด้วย แต่ถ้าร่างกายเราไม่ไหวดูแล้วมีภาวะผิดปกติตรงนั้นหมอก็จะพิจารณาผ่าคลอดให้ ดังนั้นกรณีของดิฉันไม่มีภาวะใดๆ มีแค่ความดันสูงเป็นบางครั้ง หมอจึงบอกให้เราอดทน
ตอน 6 โมงเช้าของวันที่ 20 มีค. คุณหมอดูปากมดลูกเปิดแค่ 3 cm แล้วก็มาขริบถุงน้ำคร่ำให้แตก และเริ่มให้ยาเร่งทางสายน้ำเกลืออีก ฉีดมอร์ฟีนไปแล้วทั้งหมด 4 เข็ม (1 เข็มออกฤทธิ์ 4 ชม.) หมอก็คิดว่าไม่เกินเที่ยงวันของวันนี้ (20 มีค.) คงคลอดได้ ในใจเราคิดตอนนี้ 6 โมงเช้าให้อดทนถึงเที่ยงเราคงหมดแรงตายไปก่อนแน่ๆ ซึ่งหลังจากหมอขริบถุงน้ำคร่ำ อาการปวดยิ่งกว่าเมื่อคืนอีก ร้องครวญครางจนไม่มีเสียง ปากแห้งผาก ตอนปวดมือทั้งสองข้างต้องจับขอบเตียงไว้จนเตียงสั่นสะเทือนไปหมด เข้าใจละว่าทำไมคนสมัยก่อนถึงต้องใช้ผ้าขาวม้ามัดห้อยลงมาให้เราดึง ในใจตอนนั้นอยากได้ผ้าขาวม้าแบบในละครมาก รู้สึกมันจะช่วยได้ดีเลยแหล่ะ
สามีเห็นสภาพเราก็ไม่รู้ทำไง ตัวเค้าเองก็ไม่ได้หลับได้นอน อยู่เป็นเพื่อนคอยบีบคอยนวดให้ทั้งคืน สามีเลยนั่งสมาธิแผ่ส่วนกุศลให้ลูกแล้วบอกลูกว่าคลอดเถอะ สงสารแม่ อย่าทรมานแม่เลย แม่เจ็บปวด พอเวลาประมาณ 8.45 เราก็รู้สึกว่าปวดท้องอึ หรือปวดฉี่ มันปนกันไปหมด เลยบอกหมอว่าไม่ไหวแล้วปวดอึ พยาบาลคงรู้เลยถามว่าอยากเบ่งใช่ไม๊ เราบอก ใช่!! เท่านั้นแหล่ะหมอ พยาบาลกรูกันเข้าตรวจดูปากมดปรากฎเปิดแล้ว 9 cm หมอก็ให้เข็นเข้าห้องคลอดทันที
ขึ้นขาหยั่งปุ๊บหมอก็บอกให้เบ่งได้เลย เราก็พยายามเบ่งจนสุดแรงเท่าที่เรามี เบ่งอยู่ 5-6 ทีก็คลอดค่ะ คลอดออกมาเวลาประมาณ 9.20 เคยวาดฝันไว้ว่าพอคลอดเราคงได้ยินเสียงลูกร้องได้เสียงดัง แต่นี่ ลูกแม่เงียบกริบ คงไม่มีปาฎิหารใดๆที่จะช่วยได้ มันคือความจริง ความจริง และ ความจริง…พอคลอดแล้วคุณหมอก็พาน้องไปทำความสะอาดและห่อตัวให้ หลังจากเราเย็บแผลเสร็จหมอก็พาน้องเข้ามาในห้องคลอดอีกครั้งเพื่อทำพิธีขออโหสิกรรม ซึ่งคุณหมอแจ้งว่า “คุณพ่อกับคุณแม่หมอจะไม่ได้ดูหน้าน้องนะคะเพราะมันจะทำให้เราเจ็บปวดนาน ไม่ดีต่อสุขภาพจิตโดยเฉพาะคุณแม่” ซึ่งเรากับสามีก็เห็นตรงกันว่าจะไม่ดูหน้าน้องเพราะถ้าดูเราคงทำใจไม่ได้แน่ๆ ก็จะมีแต่ ปู่ย่าตาน้า ที่เค้าขอดูหลานเค้าซึ่งคุณหมอก็ไม่ห้าม
น้องเป็นผู้ชายคลอดออกมา 2.5 กก.ประมาณนี้ค่ะ ตัวไม่ใหญ่ แต่ดูจากลักษณะภายนอกแล้วปกติทุกอย่างไม่ได้ส่อให้เห็นว่ามีความผิดปกติแต่อย่างไร ซึ่งทางคุณหมอก็ถามเรากับสามีว่าจะผ่าพิสูจน์น้องไม๊ ตอนแรกเราไม่ผ่าเพราะสงสารน้องแต่ด้วยเหตุผลในมุมมองของหมอคิดว่าควรผ่าเพราะเราจะได้รู้ว่าสรุปน้องเสียชีวิตด้วยสาเหตุอะไร ถ้าท้องครั้งต่อไปจะมีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหนที่จะเป็นแบบนี้อีกคือเผื่อเอาไว้วางแผนในการท้องครั้งต่อไป สรุปเรากับสามีก็ตัดสินใจให้คุณหมอผ่าพิสูจน์และมอบน้องให้เป็นอาจารย์ใหญ่ให้คณะแพทย์ได้ศึกษาต่อไปเพื่อเป็นบุญกุศลให้น้องด้วย
หลังจากนั้นอีก 6 สัปดาห์หมอก็นัดตรวจร่างกายหลังคลอดพร้อมทั้งฟังผลผ่าชันสูตรน้อง ผลที่ออกมาคุณหมอก็อ้ำอึ้งสักพักแล้วบอกกับเราและสามีว่า “ไม่พบสาเหตุ ที่ทำให้ลูกเสียชีวิต” และสันนิษฐานว่าลูกเสียชีวิตตอนคืนวันศุกร์ (17 มีค.) คือมันก็เป็นไปได้ที่จะไม่พบสาเหตุใดๆเลย แต่ส่วนใหญ่การที่ทารกเสียชิวิตซึ่งอายุครรภ์ใกล้ครบกำหนดแบบนี้แล้วมักจะพบสาเหตุที่ชัดเจน เช่น รกเสื่อม รกพันคอ สายสะดือตีบ น้ำคร่ำติดเชื้อ ครรภ์เป็นพิษ หรือ อวัยวะภายในของลูกมีความผิดปกติสักอย่าง ซึ่งในกรณีของเรานั้นทุกอย่างปกติ
หมอได้แต่แนะนำว่าถ้าหากท้องครั้งต่อไปคงต้องพิจารณาให้ผ่าคลอดดีกว่าที่ 37w-38w ไม่ต้องรอให้ปวดท้อง เพราะกลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเดิม และครั้งต่อไปเราก็คงต้องเจาะน้ำคร่ำเพราะอายุ 35 ปีแล้ว
เราต้องขอบคุณกระทู้พันทิป เพราะหลังจากกลับจาก รพ.เราก็ได้แต่ Search หาข้อมูลต่างๆนาๆ และที่ทำให้เราได้สติก็คือการที่ได้อ่านประสบการณ์สูญเสียลูกในครรภ์ของหลายๆคน มันทำให้เรารู้สึกว่าไม่ใช่แค่เราก็สูญเสียในโลกใบนี้ก็ยังมีอีกหลายๆคนที่เป็นเหมือนกันกับเราการสูญเสียเป็นเรื่องปกติต้องทำใจยอมรับและพยายามอยู่กับปัจจุบัน ทุกวันนี้ก็ได้แต่สวดมนต์ อุทิศส่วนกุศลและแผ่เมตตาให้ดวงวิญญาณของน้อง ถ้าบุญกุศลเรายังมีต่อกันก็ขอให้น้องมาเกิดกับเราใหม่อีกครั้ง…
จึงอยากจะขอเตือนคุณแม่ๆ ทั้งหลายหากรู้สึกผิดปกตินิดหน่อยอย่าลังเลเลยค่ะ ไปหาคุณหมอในทันทีอย่าให้เหมือนกับดิฉันที่คิดเอาเอง คิดแต่ด้านดี คิดว่าใกล้คลอดลูกไม่ค่อยดิ้นมันเป็นเรื่องปกติ ปล่อยไว้แค่คืนเดียวแต่มันกลับทำให้เกิดการสูญเสียที่ไม่มีวันเรียกร้องกลับมาได้
เราจึงตั้งใจขอแชร์ประสบการณ์ตัวเองเพื่อตอบแทนกระทู้หลายๆกระทู้ที่คอยเป็นเพื่อนเรา บางกระทู้อ่าน 2-3 รอบ การได้อ่านหรือรับฟังคนที่หัวอกเดียวกันมันก็จะทำให้เราไม่รู้สึกโดดเดี่ยวท้อแท้…ขอบคุณค่ะ
ไม่อยากให้ลูกในครรภ์เสียชีวิต คุณแม่ควรไปหาหมอทันทีเมื่อมีอาการผิดปกติอย่าได้ชะล่าใจเด็ดขาด แม้ว่าจะมีอาการผิดปกติเพียงนิดเดียวก็ตาม
ขอบคุณเจ้าของเรื่อง สมาชิกหมายเลข 3830245 จาก Pantip
= = = = = = = = = = = =
ติดตามความรู้ดี ๆ และสาระดี ๆ เพิ่มเติม สำหรับแม่ตั้งครรภ์ และลูกน้อย ได้ที่ www.konthong.com หรือ ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน ได้ที่
https://www.facebook.com/teamkonthong/
We promise to provide the knowledge and know-how for new mom. More and more solutions about how can you grow up your baby. Feel free to contact us if any problems have occurred or have any questions you would like to know. Don’t forget to follow and keep in touch with us on Facebook
https://www.facebook.com/teamkonthong/
บทความน่ารู้ เพิ่มเติม คลิกเลย …..