สำหรับวันนี้เราก็มีเรื่องราวเตือนใจจากคุณแม่ท่านหนึ่งมาฝากกันอีกเช่นเคย เกี่ยวกับ ลูกเกือบเป็นออทิสติก ซึ่งอยากจะเตือนคุณพ่อคุณแม่ทั้งหลาย ให้ใส่ใจการเลี้ยงดูลูกน้อยสักนิด เพราะนั่นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เนื่องจากจะส่งผลต่อสภาพจิตใจของลูกน้อยโดยตรง และการละเลยก็อาจทำให้ลูกเสี่ยงเป็นออทิสติกได้ เหมือนกรณีของคุณแม่ท่านนี้ ไปชมเรื่องราวกันเลยค่ะ

แชร์ประสบการณ์ ลูกเกือบเป็นออทิสติก ค่ะ

เล่าพื้นก่อนนะคะเราเลี้ยงลูก fulltime ไม่มีแม่บ้านพี่เลี้ยง คุณสามีออกไปทำงาน ตจว. ไปกลับทุกวันออกบ้าน ตี 5 กลับทุ่มครึ่งตั้งแต่ตอนน้องคลอด มีปัญหากับสามีมาตลอดเรื่องเลี้ยงลูกเพราะพ่อแม่สามีโทรจุกจิกประกอบกับคุณสามีไม่พร้อมจะเป็นพ่อในที่สุดก็ตัดสินใจ แยกห้องนอนเรานอนกับลูก ลูกร้องโคลิกเกือบ 4 เดือนค่ะ ทานแต่นมแม่ แต่ดูดเต้าไม่ออกนมแม่ก็น้อยต้องปั๊มตลอด

การเลี้ยงลูกยอมรับว่าเหนื่อยมากกแต่ก็สุขใจแต่คุณสามีไม่รวมมือไม่ว่าสุดสกปรก มักง่ายจนลูกป่วยหลายครั้ง พอลูกป่วยต้องลางานพาไปหาหมอก็ทะเลาะกันอีกแถมยังโทรให้แม่สามีโทรมาว่าเรา ปฏิสัมพันธ์พ่อลูกแทบไม่มีชนิดที่ว่าเราไม่กล้าปล่อยลูกให้อยู่กับเค้าสองต่อสองได้ ขอเลิกเค้าก็ไม่ยอม จนเราต้องหาทางออกอื่นโดยการย้ายไปอยู่บ้านพ่อของเราเพราะเค้าเกรงใจ

ย้ายบ้านอะไรๆ ดีขึ้น แต่คุณสามีก็ยังมีปฏิสัมพันธ์กับลูกไม่มากจนลูก 2.8 ขวบ จะพาเข้า ร.ร. ดูการสื่อสารเค้าไม่ค่อยมาก เป็นเด็กเมินเฉยกลัวว่า ครูจะดูแลไม่ทั่วถึงเลยลองพาไปเรียน playgroup สั้นๆ ก่อน ไปวันแรกน้องเดินสำรวจรอบห้องค่ะเหมือนวงโคจรรอบกลุ่มเด็กที่เรียนไม่มานั่งรวมกลุ่ม 4 คนพอครูดึงเข้ามาทีก็นั่งทีแต่ตอบคำถามครูได้ทุกครั้ง อาทิตย์ต่อมานั่งค่ะแต่แหย่น้องที่นั่งข้างๆ คุณครูขอให้คุณแม่เข้าไปช่วยจับ อาทิตย์ต่อมาแหย่น้องคนเดิม อีกละคุณแม่น้องเค้าไม่พอใจเราเลยตัดสินใจเรียนเดี่ยวก่อนแล้วจ่ายค่าเรียนเพิ่ม

พอเรียนเดี่ยวไม่โคจรแต่เลื้อยค่ะ คุณครูดึงความสนใจได้มากขึ้นอะไรๆ ดีขึ้นคุณครูช่วยปรับเยอะค่ะช่วยสังเกตุทั้งจุดดี จุดด้อย คิดวิธีปรับให้คุณแม่ไปทำที่บ้าน เรียกว่าอาทิตย์ต่ออาทิตย์ คุณลูกมีอะไรมาให้คุณครูขบคิดตลอดส่วนคุณสามี เห็นเด็กคนอื่นๆ เค้ามีพ่อมาดูแลเทคแคร์ก็เริ่มอ่อนลงสนใจลูกมากขึ้น มาหักเหตอนต้นปีค่ะ คุณลูกป่วยเป็นไข้สูงแล้วชักต้องแอดมิตด้วยความสงสารกลัวลูกเหงาเอา ipad ให้เล่น load สารพัดแอพ พอออก รพ.มา ไปเรียน คุณครูบอกว่าเหมือนจะล้นๆ เข้าใจว่า เข้า รพ.นานจะกดดัน หลังจากนั้นก็ป่วยอีกแอดมิตอีกเป็นโรต้าพอออกมาเว้นไปไม่นานเป็นหวัด 2009 ท้องเสียโน่นนี่ป่วยกันเดือนเว้นเดือน คุณพ่อลางานมากก็เครียดจนทะเลาะกัน มีบ่อยที่ต่อหน้าลูก พอหันไปมองลูกลูกเข้าห้องนอนล๊อคประตู พร้อมหิ้ว ipad เข้าไปนั่งเล่น เรียกนานค่ะกว่าจะยอมเปิด หลังจากนั้นคุณลูกก็เปลี่ยนไปเรียกไม่ค่อยหัน นั่งเล่นคนเดียว ชอบแต่พัดลม วันๆ นั่งมองแต่พัดลมพูดไม่สบตา หมุนตัว เดินเขย่ง มองไฟยิ่งห้ามยิ่งทำ แล้วคนข้างบ้าน ผู้ปราถนาดีก็มาทัก ว่าน้องเหมือนเด็กออทิสติกเลยนะ ไปหาหมอดีมั๊ย รีบรักษาแต่เล็กจะดีกว่า

เมื่อพาลูกไปพบหมอ

ภาวะกดดันในครอบครัวยิ่งเพิ่ม เพราะการนัดคุณหมอพัฒนาการ ต้องรอคิวค่อนข้างนาน รพ.รัฐ ประมาณ 3 เดือน เอกชน 1 เดือน เราจึงตัดสินใจนัดที่ รพ. เอกชน 3 แห่ง เพราะอยากได้ผลที่แน่นอน คิวนัดห่างกัน 1-2 อาทิตย์

รพ.ที่ 1 คุณหมอจะทักทายคุยกับน้อง นิดหน่อย แล้วมาคุยสอบถามคุณแม่ ระหว่างคุยพอน้องเริ่มคุ้นเคย คุณหมอก็ชวนมาวาดเส้น  แล้วปล่อยน้องวาดเอง เพื่อสังเกต สลับกับคุยสอบถาม มีของเล่นมาชวนเล่นไป คุยไป. ประมาณ  1 ช.ม.  ครึ่ง คุณหมอจึงสรุปอาการที่คาดว่าจะเป็นหลายข้อค่ะ แล้วสรุปว่ามีแนวโน้มสมาธิสั้น ไม่มีภาวะออทิสติก

รพ. ที่ 2 คุณหมอทักทายสอบถามคล้ายๆ กับท่านแรก คุณหมอท่านนี้เสียงดังคุณลูกไม่ยอมเข้าใกล้ เวลาจะทำอะไรจะถามอะไรคุณพ่อคุณแม่ต้องลากเข้าไปค่ะ คุยประมาณ 20 นาที เพราะวันนั้นเรากลับมาจาก ตจว. ไม่ทันเวลานัด คุณหมอสรุปว่าน้องเป็นออทิสติกสเปกตรัม จัดคิวให้ไปพบนักฝึกพูดกับนักพัฒนาการ ผลสรุปเหมือนฟ้าผ่ากลางหัวใจเลยนะคะ ไม่เสียใจว่าลูกจะเป็นอะไรแต่เสียใจว่าจะดูแลเค้าได้นานแค่ไหนคิดไปต่างๆ นาๆ เสพข้อมูลไปร้อยแปดพันเก้า อดหลับอดนอนสุขภาพจิตเสียทั้งครอบครัวค่ะ หวังลึกๆ ว่าผลของคุณหมอท่านที่ 3 จะออกมาดี

ระหว่างรอก็ไปพบนักฝึกพูดเป็นลักษณะการเล่นกับลูกเหมือนเล่นตุ๊กตา พาพี่หมีไปเที่ยว สมมติเหตุการณ์ เราสองคน สังเกตุว่าลูกคุยเยอะจัง วันนั้นพอลูกหลับเลยมานั่งคุยกันกับคุณสามีแบบเปิดใจไปเลย ถามเค้าว่ายังอยากมีเราสองคน อยู่หรือเปล่า เค้าตอบว่าเค้าไม่อยากเสียเราไปเราบอกเค้าว่านาทีนี้ เราต้องการพ่อให้ลูกมากกว่า สามีถ้าเค้าเป็นไม่ได้ เราควรแยกกันอยู่ เพราะเค้าไม่มีเราเค้าก็มีพ่อแม่เค้าแต่ลูกถ้าเค้าไม่มีเราเค้าไม่เหลือใครแล้ว เค้าบอกเค้าจะพยายาม ขอเวลาเค้าหน่อย

จนไปพบคุณหมอท่านที่ 3 คุณหมอท่านที่ 3 เปิดประตูเข้าไป มีบ้านตุ๊กตาไม้หลังใหญ่ อันนี้เค้าเคยไปเล่นที่บ้านเพื่อนเราค่ะ แล้วชอบมาก คุณลูกตรงเข้าไปเลยคุณหมอเดินเข้าไปถามชื่อ ถามซ้ำ 2 ครั้ง ถึงจะตอบแล้วตามด้วยคำถามว่าจมูกอยู่ตรงไหน  ปากอยู่ตรงไหนและไม่แม้แต่จะมองที่ลูกชี้  เดินหันหลังกลับมานั่งที่โต๊ะ ถามเราว่าเค้าทานข้าวเองหรือเปล่า เราตอบว่าเราทานแบบ 1 ชาม 2 ช้อน  คือถือช้อนทั้งคู่ กลัวลูกไม่อิ่มค่ะ แล้วถามต่อว่าอาบน้ำเองหรือเปล่า เราตอบว่าเริ่มให้อาบเองแล้วค่ะแล้วเราช่วยเก็บรายละเอียด เค้าถามต่อว่าถึง 70% มั๊ย เราตอบน่าจะใกล้เคียงเพราะส่วนที่ไม่ได้ถูมีแค่หลัง หลังจากนั้นก็ถามว่ามีลูกกี่คน เรามีคนเดียว เค้าถามอายุแล้วบอกว่าถ้าจะมีอีกคนก็รีบมีซะเพราะลูกเราจะเป็นคนไร้ความสามารถจำเป็นต้องมีที่พึ่งพา แล้วแนะนำให้ไปเข้าบำบัดกับสถาบันหนึ่งอีก 2 เดือนให้มาพบหมออีกทีไม่แน่ผลวินิจฉัยอาจจะเปลี่ยน

ท่านที่ 3 ใช้เวลาคุยประมาณ 15-20 นาที ค่ะ ดูคุณหมอรีบๆ เหมือนจะไปธุระต่อเรายังเดินไม่ถึงประตูห้อง ก็ถอดเสื้อกาวน์แล้วค่ะตอนนั้น รู้สึกเดินเซๆ จ่ายตังค์เสร็จเดินถึงหน้าลิฟท์น้ำตาไหลแบบไม่รู้ตัวกดดันสุดๆไม่ได้เสียใจ ว่าลูกจะเป็นอะไรแต่กังวลว่าเค้าจะอยู่ยังไงถ้ามันเลวร้ายอย่างที่เค้าพูดจริง ปาดน้ำตาเสร็จหาเบอร์สถาบันที่เค้าแนะนำค่ะนัดวันรุ่งขึ้นเลยพาลูกไปค่ะ ใช้เวลาชั่วโมงครึ่งผู้ปกครองนั่งรอข้างนอกระหว่างนั้นมีครูฝึกออกมารายงานผู้ปกครองเป็นระยะ

Sponsored

วันนั้นหลังฝึกเสร็จ คุณลูกออกมาร่าเริงคึกผิดปกติ แต่พอขึ้นรถกลับอารมณ์เหม่อลอยถามอะไรก็เหวอๆ พอถึงบ้าน นมกล่องที่เคยทานก็ไม่ทานยื่นให้ยังไม่ทันแตะปากบอกว่าไม่เอา เหม็น ตกกลางคืนนอนจนประมาณ ตี 2 ตี 3 ละเมอ หวีดร้องแบบร้องไห้โฮค่ะ พูดซ้ำไปซ้ำมาว่า น้องกัดเล็บๆ พอปลอบลูกหลับไปแล้ว ก็มานั่งคุยกันว่าเราจะทำยังงัยดี พอดีมาอ่านทู้ของแม่ก้อยมีแนะนำ floortime ลองหาข้อมูลดู เราว่าน่าจะเหมาะกับลูกเราส่งคุณสามีไปอบรมกลับมาช่วงแรกเครียดค่ะ คนไม่เคยเล่นกับลูกต้องมาเล่นแถมยังมีเป้าหมายคาดหวังการโต้ตอบจากลูกด้วย

เราบอกเค้าว่าลูกไม่ต้องการครูฝึกเค้าต้องการพ่อ  การเล่นกับลูกไม่ใช่งานมันเป็นใจถ้าไม่มีอย่าทำมันเสียความรู้สึกทั้งสองฝ่าย ค่อยๆ ปรับ แค่ 2 อาทิตย์ คุณลูกเปลี่ยนไปมากแคร์พ่อแม่มากขึ้น เป็นครอบครัว…. ตอนนั้นรู้สึกอย่างนั้นเลยค่ะคุณสามีก็เปลี่ยน สนใจพาลูกไปสนามเด็กเล่น ไปสนามกีฬา ไปทำกิจกรรมโน่นนี่ แต่คำว่า ออทิสติก ก็ยังติดในใจเราอยู่ ตรงข้อมูลที่ได้รับมาว่า อาการมีขึ้นมีลง บางทีมีถดถอยพอรู้สึกว่ามีความสุข เราก็กังวลกันว่ามันเป็นช่วงดีของเค้าหรือเปล่าเดี๋ยวจะมีช่วงแย่ลงหรือเปล่า

เลยตัดสินใจว่าเอาฟระไปทดสอบอีกที คราวนี้นัด รพ.รัฐ ยอมรอนานเจาะจงเลือกคุณหมอท่านที่มีงานวิจัยเฉพาะทาง  ระหว่างรอเราทำหน้าที่ปกติค่ะ ปรับชีวิตในบางเรื่องให้เวลากับลูกมากขึ้นให้เค้าช่วยเหลือตัวเองให้มาก คุยให้เยอะถึงวันนัดเข้าไปคล้ายกับคุณหมอท่านแรก พูดคุยสอบถามสลับกับการเล่นประมาณ ช.ม.ครึ่ง คุณหมอสรุปผลวินิจฉัยว่า น้องไม่เข้าข่ายเลยเพราะพูดคุย โต้ตอบ แถมต่อรอง เลียนแบบ จินตนาการการเล่นสมมติ อีกหลายอย่างคุณหมอถามว่าคุณพ่อคุณแม่ทำไมถึงคิดว่าน้องเป็นเราก็เล่าอาการแปลกๆ ที่เค้าเคยทำ คุณหมอบอกว่าเด็กปกติก็ทำ คุณหมอแนะนำให้เพิกเฉยแล้วจะหายไปเองแต่ สิ่งทีคุณหมอฟันธงว่าไม่เป็นคือการเล่นบทบาทสมมติค่ะ คุณลูกเล่าเป็นตุเป็นตะ มีวาดรูปมั่วๆ ประกอบด้วยจับดินสอก็ยังไม่ถูก ภาวะนึงที่คุณหมอแนะนำ คือ ภาวะเครียดในเด็กเล็กค่ะเด็ก เค้ายังสื่อสารได้ไม่ดีเท่าผู้ใหญ่ แถมช่องทางระบายความเครียดก็ไม่มาก การแสดงออกก็คงไม่พ้นการโวยวายหรือเรียกร้องในแบบของเด็ก

เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่ต้องจัดการให้เข้ากับร่องกับรอย หรือเรียกว่าเลี้ยงดูอบรมสั่งสอน อยากบอกคุณแม่หรือคุณพ่อ ที่กำลังกังวลเรื่องนี้นะคะว่าจิตใจของลูกสำคัญที่สุดค่ะ  ก่อนที่จะตีความพฤติกรรมน้องว่าเป็นอะไรมาหาสาเหตุก่อนแล้วลองปรับดูก่อนดีกว่าความกังวลของเราส่งผ่านไปที่ลูกชัดเจนมากค่ะ ทำใจให้สบายเล่นกับลูกให้มีความสุขจะเห็นความเปลี่ยนแปลงค่ะ

ความรักความอบอุ่นของครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญนะคะ เพราะฉะนั้นเพื่อให้ลูกน้อยเป็นเด็กที่สมบูรณ์ มีความฉลาด ไม่เสี่ยงต่อการเป็นเด็กออทิสติก หรือมีภาวะเครียด ก็อย่าละเลยที่จะสนใจเลี้ยงดูลูกน้อยด้วยความรักเด็ดขาด

ขอบคุณเจ้าของเรื่อง : MinPin พันทาง จาก Pantip

= = = = = = = = = = = =

ติดตามความรู้ดี ๆ  และสาระดี ๆ เพิ่มเติม สำหรับแม่ตั้งครรภ์ และลูกน้อย ได้ที่ www.konthong.com หรือ ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน ได้ที่
https://www.facebook.com/teamkonthong/

We promise to provide the knowledge and know-how for new mom. More and more solutions about how can you grow up your baby. Feel free to contact us if any problems have occurred or have any questions you would like to know. Don’t forget to follow and keep in touch with us on Facebook

https://www.facebook.com/teamkonthong/

บทความน่ารู้ เพิ่มเติม คลิกเลย …..

1.เสื้อผ้าเด็กแรกเกิด ควรเลือกแบบสายผูก หรือแบบกระดุมดีกว่ากัน

2.เสื้อผ้าเด็ก อันตราย ไม่ควรให้ทารกใส่ชุดแบบนี้