ในสมัยโบราณการแพทย์ยังไม่ก้าวหน้าเหมือนทุกวันนี้ การทำนายเพศทารกในครรภ์จะใช้วิธีสังเกตอาการลักษณะภายนอกของคุณแม่ รวมถึงอาการที่แสดงออกมา แล้วนำมาทำนายเพศของลูกในครรภ์ว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ซึ่งส่วนใหญ่อาการที่แสดงออกของคุณแม่ตั้งครรภ์ที่เป็นอาการท้องลูกสาว จะมีอาการเด่นๆ ที่สังเกตได้หลายประการ ซึ่งเมื่อลองสังเกตจดจำการทายไว้แล้วค่อนข้างจะแม่นยำ จึงมีการทำนายจากลักษณะอาการตามความเชื่อของคนโบราณ มีไว้อย่างไรบ้างมาดูกันเลยค่ะ
10 อาการท้องลูกสาว ตามความเชื่อ
อาการท้องลูกสาว ของคุณแม่ตั้งครรภ์ ซึ่งจะแสดงออกมาในการตั้งครรภ์แต่ละครั้งไม่เหมือนกัน โดยส่วนใหญ่แสดงออกทางด้านร่างกาย และอารมณ์ ซึ่งอาการที่พอจะนำมาทำนายได้มีอะไรบ้าง เราได้รวบรวมมาฝากกันแล้ว
1.ท้องกลม
การสังเกตลักษณะอาการคนตั้งครรภ์ที่ท้องลูกสาว ของคุณแม่ที่คนโบราณสามารถดูและทายได้ ว่าลูกน้อยในครรภ์จะเป็นเพศหญิงหรือชาย ถ้าหากลูกน้อยในครรภ์เป็นลูกสาว สังเกตได้ว่าจะมีลักษณะของท้องของคุณแม่เป็นทรงกลมคล้ายมีการอุ้มลูกแตงโมกลมๆ อยู่ที่ท้อง แสดงว่าคุณแม่อาจจะกำลังมีอาการท้องลูกสาว ส่วนคุณแม่ที่กำลังท้องลูกชายจะสังเกตได้ว่าท้องเป็นลักษณะแหลม และยื่นออกมามากนั่นเอง
2.อยากกินของหวาน
อาการท้องลูกสาวในสมัยโบราณมีอีกหนึ่งความเชื่อก็คือ คุณแม่ที่มักจะหิวอยากกินของหวานๆ ไม่ว่าจะเป็นขนมหวานแบบไทยๆ หรือ เค้ก ไอศครีมเกือบทุกชนิด โดยความเชื่อแบบนี้จะสอดคล้องกับความเชื่อที่ว่าเพราะจะได้ลูกสาวคือผู้หญิงมักจะชอบอะไรหวานๆ หรือความสวยความงาม ตามแบบของผู้หญิงนั่นเอง
3.ผิวมัน เป็นสิว
คุณแม่ที่มีปัญหาเป็นสิว เป็นฝ้า มีความเชื่อว่าคุณแม่กำลังตั้งครรภ์ลูกสาว ซึ่งคุณแม่ที่ก่อนตั้งครรภ์เป็นคนผิวพรรณดีไม่มีปัญหาสิวฝ้า แต่กลับพบว่าขณะตั้งครรภ์มีใบหน้าเป็นสิว และมีความมันมากกว่าปกติ อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน จึงทำให้ใบหน้ามีความมันและเกิดสิวได้
4.ผิวพรรณไม่เปล่งปลั่ง
คุณแม่ที่มีปัญหาผิวพรรณหยาบกร้านหมองคล้ำขณะตั้งครรภ์ ผิวพรรณซึ่งแสดงอาการของคนท้องในสมัยโบราณทำนายว่าจะได้ลูกสาว ถ้าคุณแม่คนไหนมีผิวพรรณสดใสจะทำนายว่าได้ลูกชายว่า
5.เด็กหญิงดิ้นบ่อยกว่า
ความเชื่ออีกอย่างหนึ่ง คือลูกชายดิ้นน้อยกว่ามีลูกสาว ซึ่งจริงๆ แล้วการดิ้นของทารกในครรภ์ทั้งเพศหญิง เพศชายมักมีการดิ้นไม่เหมือนกันอยู่แล้ว สำหรับคุณแม่ที่ท้องลูกสาวมักจะดิ้นบ่อยกว่า ลูกชายอยู่แล้ว แต่ความแรงไม่แรงเท่าผู้ชาย คนโบราณใช้การดิ้นของลูกน้อยในครรภ์มาทำนายอาการท้องลูกสาว
6.สะดือคว่ำจะได้ลูกสาว
ความเชื่อของคนโบราณเชื่อกันว่า สะดือของคุณแม่ตั้งครรภ์สามารถบอกเพศของลูกได้ โดยให้คุณแม่สังเกตดูสะดือที่มีลักษณะบริเวณด้านบนของสะดือยื่นออกมา เรียกว่าสะดือคว่ำ ถือว่าเป็นอาการที่บ่งบอกว่าเป็นอาการท้องลูกสาว หากสะดือหงายจะเป็นลูกชาย
7.แพ้ท้องหนัก
อาการคนตั้งครรภ์ จะหลายอย่างเช่น อาการแพ้ท้องของคุณแม่ตั้งครรภ์ ที่คนโบราณก็นำมาใช้ในการทำนายเพศลูก ซึ่งเชื่อกันว่าคุณแม่ที่มีอาการแพ้ท้องอย่าง หนักไม่ว่าจะเป็น อาการเวียนหัว ปวดหัว คลื่นไส้อาเจียน กินอาหารไม่ได้ เหม็นกลิ่นอาหาร ในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ ส่วนใหญ่จะทายว่า คุณแม่กำลังตั้งท้องลูกสาว ส่วนคุณแม่ที่ท้องลูกชายมักจะไม่ค่อยมีอาการแพ้ท้องออกมามากนัก
8.อัตราการเต้นของหัวใจเร็ว
การฟังเสียงการเต้นของหัวใจ ทารกเพศหญิงขณะอยู่ในครรภ์จะมีอัตราหัวใจเต้นเร็ว กว่าทารกเพศชาย หากวัดการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์แล้วมีอัตราการเต้นของหัวใจ 140 ครั้งต่อนาที ให้สันนิษฐานได้ว่าคุณแม่น่ากำลังตั้งครรภ์ลูกสาวอยู่ก็ได้
9.อารมณ์ขึ้นลง แปรปรวน
อาการคนตั้งครรภ์ลูกสาวคุณแม่อาจจะมีอารมณ์แปรปรวนได้มากกว่า การตั้งครรภ์ลูกชาย เนื่องจากในร่างกายคุณแม่จะมีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงเพิ่มขึ้น จึงทำให้คุณแม่มีอารมณ์ขึ้น ลง แปรปรวนได้ง่ายนั่นเอง
10.หน้าอกใหญ่โตขึ้นมาก
ให้คุณแม่สังเกตหน้าอก ถ้าหากคุณแม่หน้าอกมีที่ใหญ่โตขึ้นมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ก็ทายได้ว่าคุณแม่กำลังตั้งครรภ์มีอาการท้องลูกสาว ส่วนคุณแม่ที่ท้องลูกชาย หน้าอกคุณแม่จะไม่ได้ขยายใหญ่ขึ้นมากนัก เพราะการตั้งครรภ์ทารกเพศชาย จะทำให้ร่างกายคุณแม่มีฮอร์โมนเพศชายสูงขึ้น จึงทำให้หน้าอกของคุณแม่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากกว่าเดิมนัก
อยากรู้ได้ลูกสาวจริงไหม ตรวจได้เมื่อไหร่
โดยปกติแล้วการตรวจดูเพศของลูกน้อยในครรภ์สามารถทำได้หลายวิธี แต่ที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย และนิยมกันมากกว่าก็จะเป็นการใช้คลื่นอัลตราซาวด์ ซึ่งวิธีการตรวจดูเพศของลูกสามารถเห็นได้ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 16 ขึ้นไปและจะเห็นได้ชัดเจนในช่วงสัปดาห์ที่ 18-22 แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับท่าทางของลูกน้อยขณะที่อยู่ในท้องของแม่ด้วยว่าอยู่ในท่าที่อำนวยความสะดวกในการมองเห็นมากแค่ไหนนั้น
อาการท้องลูกสาว หรือท้องลูกชาย สำหรับคุณแม่แต่ละคนไม่ได้แสดงออกมาเหมือนกันทุกคน ซึ่งการทำนายเพศลูกในครรภ์ จากการดูลักษณะและอาการที่แสดงออกมาให้เห็น และสามารถนำมาทายเพศลูกได้ตามที่ได้ยกตัวอย่างมาแล้วนี้ คุณแม่ลองนำไปสังเกตดูว่าใกล้เคียงหรือไม่ แต่ที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะใกล้เคียงความจริงเกือบทั้งหมด
= = = = = = = = = = =
ติดตามความรู้ดี ๆ และสาระดี ๆ เพิ่มเติม สำหรับแม่ตั้งครรภ์ และลูกน้อย ได้ที่