สำหรับวันนี้ ก็มีเรื่องราวแชร์ๆ ประสบการณ์ทางบ้านมาฝากกันอีกเช่นเคยค่ะ เป็นเรื่องราวของเด็กที่เป็นโรคหูอักเสบ หลังจากหายป่วยเป็นภูมิแพ้นมวัวได้ไม่นาน ซึ่งคาดว่าภูมิแพ้เป็นสาเหตุ คุณแม่ท่านนี้จึงอยากจะเตือนใจคุณแม่หลายๆ คน ไม่ให้ละเลยต่อความผิดปกติของลูก โดยคุณแม่ท่านนี้ก็ได้มาแชร์เรื่องราวไว้ดังนี้

แชร์ประสบการณ์ สาเหตุจากภูมิแพ้ทำให้ ลูกหูอักเสบ

ลูกสาวจขกท อายุ 4.4 ปีค่ะ น้องเป็นเด็กแพ้นมวัวตั้งแต่เกิด ทั้งๆที่ทานนมแม่ ทำให้จขกทต้องงดผลิตภัณฑ์นมวัวทุกอย่างหนึ่งปีเต็มตลอดการให้นมลูก อาการแพ้นมวัวช่วงแรกคือน้องมีผื่นแดงที่แก้ม เหมือนผิวแตกแห้งเพราะอากาศหนาว (ตอนนั้นคิดว่าเค้าผิวบาง เหมือนเด็กประเทศเมืองหนาว) ท้องอืด อึเขียวบ้างบางครั้ง แต่สีเขียวของอึเป็นสีเขียวสด ดูแล้วผิดปกติชัดเลยค่ะเมื่อยิ้มดนมวัว ลูกสาวก็หายแพ้ แข็งแรงดีค่ะ

ครบหนึ่งขวบ จขกทลองให้นมวัวอีกครั้ง ปรากฏว่าไม่มีอาการแพ้แล้ว เลยให้กินต่อเนื่อง คราวนี้น้องมาในอาการหายใจเสียงดังป่วยบ่อย ท้องอืด เลยหยุดนมวัว หันมากินไอโซมิลแทน พอเข้าเรียนก็เริ่มใหม่ ลองนมวัวสลับกับนมถั่วเหลือง คราวนี้แข็งแรงดี ไม่มีปัญหา มีผื่นบ้างเวลาอากาศร้อนตามข้อพับ แต่โดยรวมคิดว่าหายแพ้แล้วแน่นอน เพราะไม่มีอาการใดๆ ป่วยน้อยกว่าเพื่อนคนอื่นๆ

จขกทไม่กังวลเรื่องนมวัวแล้ว เลยไม่จำกัดอาหารที่ทำจากนมวัวเลย น้องทานเบเกอรี่ ทานนม ทานไอศกรีม แต่มื้อนม จขกทให้ดื่มไวตามิลค์บ้าง so good บ้างสลับๆกันไป จนกระทั่งสามเดือนที่แล้วน้อง มีอาการไอแห้งๆ ตอนเช้านิดหน่อย หลายวันเข้าไม่หาย ไปหาคุณหมอ คุณหมอบอกว่าแพ้อากาศเฉยๆ น้ำมูกอาจจะไหลลงคอ ทำให้ระคายเคือง เกิดการไอได้โดยเฉพาะช่วงเช้า เลยได้ยาแก้แพ้มาทานทุกวัน น้องไปโรงเรียนก็เริ่มติดหวัด มีน้ำมูก มากเข้าก็ทานยาปฏิชีวนะ ยาหมด น้ำมูกไม่หมด ผ่านไปสองสามวันทานยาปฏิชีวนะอีกรอบ เพราะน้ำมูกเยอะขึ้น คอแดง ผ่านไป 6 -7สัปดาห์ น้องทานยาไปเยอะมาก ทั้งยาปฏิชีวนะยาแก้แพ้ คัดจมูก แก้ไอ ขับเสมหะ แต่อาการไม่หายขาด หยุดยาอาการก็เยอะขึ้น จนกระทั่งจขกทคิดว่าช่างมัน ไม่อยากให้ทานยาเยอะๆ ใช้วิธีล้างจมูกบ่อยขึ้น หยุดเรียนว่ายน้ำ กลั้วคอด้วยน้ำเกลือ

เมื่อพบว่าลูก ไม่ได้ยินเมื่อพูดเสียงเบา

สุดท้ายน้องตัวร้อน มีไข้ประมาณ 38 องศา เจ็บหู ต้องทานยาปฏิชีวนะอีกสองสัปดาห์ เนื่องจากหูอักเสบ พอน้องไม่เจ็บหู ไข้หาย คุณหมอบอกว่าอาการน่าจะเหลือแต่แพ้อากาศเพราะน้ำมูกไท่หายสนิท ให้ทายยาแก้แพ้บวกกับล้างจมูกช่วย 2 สัปดาห์ผ่านไปน้ำมูกก็ยังมี ลมหายใจมีกลิ่น น้องบอกมีเสียงแปลกๆในหูด้วยบางครั้ง นอนกรน แต่ร่าเริงเป็นปกติ จนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จขกทเริ่มสังเกตว่าน้องไม่ค่อยได้ยินที่เราพูด ชอบถามว่าอะไรนะ หรือบอกให้พูดเสียงดังๆ ทั้งๆที่เมื่อก่อนหูน้องไวมาก เราตกใจเลยทดสอบน้องด้วยการพูดเสียงเบาๆ น้องไม่ได้ยิน หรือบางครั้งก็บอกว่าฟังไม่รู้เรื่อง

วันรุ่งขึ้นพาไปหาหมอหูคอจมูกแทนหมอเด็กที่ดูแลประจำ หมอบอกว่าแก้วหูทั้งสองข้างมีน้ำมูกมาเกาะอยู่ทำให้การได้ยินลดลง โพรงจมูกบวมมาก แก้วหูแดงทั้งสองข้าง ให้น้องกินยาปฏิชีวนะอีกครั้ง เราไปหาสองโรงพยาบาลเลยเพื่อความแน่ใจ เพราะครั้งแรกเราแปลกใจที่หมอเฉพาะทางหูคอจมูก พูดไม่เหมือนกับหมอเด็ก หมอเด็กบอกว่าหูปกติแล้ว ไม่มีการติดเชื้อจึงไม่ได้ให้ยาปฏิชีวนะต่อ เพราะคิดว่าจะทานมากไปโดยไม่จำเป็น หมอหูคอจมูกคนที่สองยืนยันว่าน้องต้องทานยาปฏิชีวนะอีกครั้ง พร้อมยาแก้แพ้ และยาพ่นจมูกด้วยเพราะหูยังมีการติดเชื้ออยู่มาก เราเลยถามว่าน้องไม่เคยแพ้อากาศมาก่อน เป็นไปได้มั้ยว่าน้องจะแพ้นมวัว คุณหมอบอกว่าเป็นไปได้สูง จึงให้หยุดทานผลิตภัณฑ์นมวัวทุกประเภท หยุดว่ายน้ำ ทานยาต่อเนื่อง และล้างจมูกด้วย

พอได้ทานยาและพ่นยาครั้งนี้ คืนเดียวอาการนอนกรน ลมหายใจมีกลิ่นหรือแม้กระทั่งน้ำมูกตอนเช้าหายไปหมดเลย การได้ยินของน้องก็ค่อยๆดีขึ้น ตอนนี้ทานมาสี่วันหูน้องได้ยินเหมือนเดิมแล้ว ดีใจมากๆ คุณหมอบอกว่าอาการเรื่องหูเป็นเรื่องเฉพาะทาง บางครั้งหมอเด็กอาจจะวินิจฉัยพลาดเพราะไม่ได้ ฝึกมาทางด้านนี้ ให้เราหาหมอเด็กกับหูคอจมูกควบคู่กันไป

คุณหมอเสริมว่า ผู้ปกครองส่วนใหญ่มักคิดว่าอาการภูมิแพ้หายไป เมื่อลูกไม่แสดงอาการอะไรหนักหนาสาหัส มีน้ำมูกบ้างก็น่ิงนอนใจ จริงๆแล้วการที่มีน้ำมูก แสดงว่าร่างกายอ่อนแอ รับเชื้อโรคได้ง่าย เมื่อเป็นเรื้อรังโอกาสที่ทำให้เกิดไซนัสหรือหูอักเสบก็สูง ทางที่ดีที่สุดคือคอยสังเกตลูกๆว่ามีอาการหรือไม่ แม้จะน้อยนิดก็ควรทานยาแก้แพ้ป้องกันดีกว่ารอให้เป็นหนักๆแล้วค่อยมาหาหมอ ตอนนั้นก็ต้องทานยามากๆโดยไม่จำเป็น การเรียนว่ายน้ำเช่นกัน ผู้ปกครองบางคนคิดว่าลูกป่วยต้องออกกำลังกายแต่จริงๆแล้วในโพรงจมูกลูกมันต่อไปถึงหูถึงโพรงไซนัส การที่มีน้ำมูกไม่ควรอย่างยิ่งที่จะให้ลูกไปว่ายน้ำ เพราะโอกาสที่น้ำมูกจะถูกดันไปข้างในสูงมาก เมื่อเข้าไปแล้วก็รักษายากกว่า ทางที่ดีให้ลูกไปออกกำลังกายอย่างอื่นดีกว่า และสุดท้ายอาการภูมิแพ้ต่างๆของเด็กจะมีแนวโน้มดีขึ้นเมื่อายุ 7-8 ขวบ ดังนั้น เราควรดูแลเอาใจใส่ลูกช่วงก่อนหน้านี้ให้มากๆ ค่ะ

Sponsored

ป.ล. ยาวหน่อยนะคะ แต่คิดว่ามีผู้ปกครองหลายคนมีปัญหานี้เหมือนกัน เลยอยากแชร์ประสบการณ์ค่ะ

อาการป่วยของลูกเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามจริงๆ ค่ะ โดยเฉพาะภูมิแพ้ที่คิดว่าลูกหายสนิทแล้ว แต่อาจแฝงอยู่โดยไม่รู้ตัว และส่งผลให้ลูกป่วยรุนแรงขึ้น   เพราะฉะนั้นอย่าละเลยเมื่อลูกน้อยมีอาการผิดปกติใดๆ เด็ดขาด

ขอบคุณเรื่องราวจาก Chicken&milky จาก Pantip

= = = = = = = = = = =

ติดตามความรู้ดี ๆ  และสาระดี ๆ เพิ่มเติม สำหรับแม่ตั้งครรภ์ และลูกน้อย ได้ที่ www.konthong.com หรือ ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน ได้ที่
https://www.facebook.com/teamkonthong/

We promise to provide the knowledge and know-how for new mom. More and more solutions about how can you grow up your baby. Feel free to contact us if any problems have occurred or have any questions you would like to know. Don’t forget to follow and keep in touch with us on Facebook

https://www.facebook.com/teamkonthong/

บทความน่ารู้ เพิ่มเติม คลิกเลย …..

1.เสื้อผ้าเด็กแรกเกิด ควรเลือกแบบสายผูก หรือแบบกระดุมดีกว่ากัน

2.เสื้อผ้าเด็ก อันตราย ไม่ควรให้ทารกใส่ชุดแบบนี้