เกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia) เป็นภาวะที่เกล็ดเลือดมีจำนวนน้อยกว่า 150,000 เกล็ดต่อไมโครลิตร ส่งผลทำให้ร่างกายมีจุดแดงใต้ผิวหนัง มีรอยช้ำ เป็นจ้ำได้ง่ายเมื่อได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เพราะเกล็ดเลือดของคนเรานั้นมีหน้าที่เป็นจุดเริ่มต้นที่ก่อให้เกิดการแข็งตัวของเลือด ทำให้เลือดหยุดไหลได้เมื่อเกิดบาดแผล หากร่างกายมีการฉีกขาด หรือมีแผล เยื่อบุผิวหลอดเลือดจะมีการหลั่งสารบางอย่าง เพื่อกระตุ้นเกล็ดเลือดจำนวนมากให้มารวมตัวกันเกาะกลุ่มกัน บริเวณที่ฉีกขาด เพื่อกระตุ้นการแข็งตัวของเลือด ทำให้เลือดหยุดไหลนั่นเอง ภาวะ เกล็ดเลือดต่ำ อันตรายหรือไม่ และจะมีวิธีดูแลตัวเองอย่างไรหากเกิดภาวะดังกล่าวขึ้น เรามาหาคำตอบในบทความนี้กันดีกว่า
เกล็ดเลือดต่ำ เกิดจากอะไร อันตรายไหม
ภาวะ เกล็ดเลือดตำ เกิดจาก 3 สาเหตุหลักได้แก่ การที่เกล็ดเลือดถูกทำลายมากกว่าปกติเช่น ภาวะที่ร่างกายสร้างแอนติบอดี้ต่อเกล็ดเลือด ทำให้เกล็ดเลือดโดนทำลายมากขึ้น เกิดจากไขกระดูกสร้างเกล็ดเลือดได้น้อยลง ส่งผลทำให้เกิดภาวะเกล็ดเลือดต่ำ รวมทั้งเกิดจากคนไข้มีภาวะโรคตับ ทำให้ม้ามโต เกล็ดเลือดส่วนหนึ่งจึงเข้าไปสู่ม้าม เมื่อเจาะเลือดจะพบว่าเกล็ดเลือดต่ำได้ โรคเกล็ดเลือดต่ำเป็นภาวะอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม หากพบว่าร่างกายมีรอยช้ำ มักจะมีจุดแดงใต้ผิวหนัง รวมถึงมีเลือดออกมาก ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อทำการรักษา
อาการเกล็ดเลือดต่ำเป็นอย่างไร
สำหรับผู้ที่มีภาวะ เกล็ดเลือดต่ำ บางรายอาจจะไม่แสดงอาการจนกระทั่งมีการเจาะเลือด แต่บางรายอาจจะมีเลือดออก ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย และจำนวนเม็ดเลือดว่ามากหรือน้อยเพียงใด หากมีอาการที่รุนแรงอาจทำให้เลือดไหลไม่หยุด รวมถึงมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วยดังนี้
- มีรอยช้ำสีแดง สีม่วง หรือสีน้ำตาล กระจายใต้ผิวหนัง
- ร่างกายจะเกิด รอยช้ำสีม่วง ได้ง่ายเมื่อเกิดกระแทกเล็กน้อย หรือได้รับอุบัติเหตุที่ไม่รุนแรง
- มีเลือดออกที่จมูก และตามเหงือก
- เลือดออกจำนวนมาก หลังเกิดบาดแผล ถึงแม้จะเป็นบาดแผลขนาดเล็ก
- ประจำเดือนมามากผิดปกติ
- หาก เกล็ดเลือดต่ำ มากอาจจะมีภาวะเลือดออกภายใน ทำให้ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะเป็นเลือด หรือมีสีเข้ม
วิธีการรักษาเมื่อมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ
หากมีภาวะ โรคเกล็ดเลือดต่ำ แพทย์จะทำการรักษา เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต และพิการที่อาจเกิดขึ้น โดยวิธีรักษา อาการเกล็ดเลือดต่ำจะขึ้นอยู่กับสาเหตุ และความรุนแรงของอาการ ในผู้ป่วยแต่ละรายจะไม่เหมือนกัน
1.การรักษาในผู้ป่วยที่ไม่รุนแรง
การรักษาผู้ป่วยที่ เกล็ดเลือดต่ำ ไม่มาก หากพบว่ามีอาการเลือดไหลไม่มาก อาจไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษา ในผู้ป่วยที่เกล็ดเลือดต่ำที่มีสาเหตุมาจากการใช้ยา แพทย์จะทำการรักษาโดยการเปลี่ยนยา หรือให้หยุดยาที่เป็นสาเหตุ หรือให้ยากับผู้ป่วยเพื่อยับยั้งภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยเกล็ดเลือดต่ำที่มีสาเหตุมาจากปัญหาระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย
2.การรักษาผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมาก
ในผู้ป่วยที่มีเกล็ดเลือดต่ำที่รุนแรงมาก แพทย์จะมีแนวทางการรักษา ด้วยการใช้ยาในกลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) ที่มีทั้งรูปแบบฉีด และรับประทาน เพื่อชะลอการทำลายเกล็ดเลือดเช่น เพรดนิโซน (Prednisone) อิมมิวโนโกลบูลิน (Immunoglobulins) หรือ ริทูซิแมบ (Rituximab) เป็นยาชนิดฉีดเข้าเส้นเลือด เพื่อยับยั้งระบบภูมิคุ้มกัน
3.การรักษาโดยการให้เลือด
ในผู้ป่วยที่มีเลือดออกอย่างรุนแรง แพทย์จะรักษา โดยการให้เลือด หรือเกล็ดเลือด กับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการเลือดออกมาก
4.การรักษาผ่าตัดม้าม
หากแพทย์รักษาโดยการใช้ยาไม่เป็นผล มักจะรักษาโดยการผ่าตัดม้ามให้ผู้ป่วยที่สูงอายุ ที่มีภาวะ Immune Thrombocytopenia: ITPในผู้ป่วยที่ผ่าตัดม้ามออกแล้ว ร่างกายจะติดเชื้อได้ง่าย หากมีอาการไข้ หรือพบอาการอื่นๆ ของการติดเชื้อ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที รวมถึงอาจต้องฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อในผู้ป่วย
การดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี
สำหรับผู้ป่วย โรคเกล็ดเลือดต่ำ การดูแลตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะจะช่วยให้ปลอดภัย ลดความเสี่ยงอันตรายต่อชีวิต การดูแลตัวเองอย่างถูกวิธีสามารถทำได้ดังนี้
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจทำให้เกิดอาการฟกช้ำ หรือกระทบกระเทือนทำให้เกิดแผล เช่นกิจกรรมโลดโผน
- หลีกเลี่ยงการไปสถานที่ที่อาจทำให้ติดเชื้อ เพราะอาจจะกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ทำให้ เกล็ดเลือดต่ำ ลงไปอีก
- รับประทานยาตามแพทย์สั่ง และการทานยารักษาโรคอื่นๆ ภายใต้การดูแลตามแพทย์สั่งเท่านั้น
- หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ เพราะแอลกอฮอล์จะไปชะลอการสร้างเกล็ดเลือด
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารเคมีเช่น สารกำจัดศัตรูพืช สารหนู หรือเบนซีน (Benzene) เพราะจะเข้าไปชะลอการผลิตเกล็ดเลือดในร่างกาย
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ส่งผลต่อจำนวนและการทำงานของเกล็ดเลือด อาจทำให้เกิดเลือดออก หรือทำให้เลือดจางลงได้ เช่น แอสไพริน (Aspirin) หรือไอบูโปรเฟน (Ibuprofen)
- ปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้งที่จะเข้ารับการเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัส ที่อาจส่งผลกระทบต่อภาวะเกล็ดเลือดต่ำได้ เช่น วัคซีนป้องกันโรคคางทูม หัดเยอรมัน อีสุกอีใส เป็นต้น
ภาวะ เกล็ดเลือดต่ำ เป็นภาวะที่อันตราย ไม่ควรมองข้าม หากมีอาการ รอยช้ำ เป็นจ้ำ หรือจุดแดงใต้ผิวหนัง รวมถึงมีเลือดออกมากผิดปกติ หยุดไหลยาก ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัย เพราะนี่อาจจะเป็นอาการของภาวะเกล็ดเลือดต่ำก็ได้ หากรู้ไวก็สามารถรักษาได้อย่างถูกต้อง ลดความเสี่ยงที่อาจถึงต่อชีวิตได้
= = = = = = = = = = =