โรคเบาหวานเป็นหนึ่งในโรคแทรกซ้อนที่มักพบในสตรีตั้งครรภ์ ซึ่งเกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้อย่างเพียงพอ จนมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ แม้ว่าโรคเบาหวานมักจะหายไปภายหลังการคลอด แต่หากระหว่างที่ตั้งครรภ์ไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้องอาจเป็นอันตรายต่อแม่และเด็กในครรภ์ได้ เช่น ครรภ์เป็นพิษ การแท้งบุตร ทารกตัวโต ทารกเสีย คลอดไม่ทราบสาเหตุ ปอดทารกไม่สมบูรณ์ หรือ Respiratory Distress Syndrome (RDS) การคลอดติดไหล่ เพิ่มโอกาสการผ่าตัดคลอด ทารกน้ำตาลในเลือดต่ำหลังคลอด

คุณแม่ตั้งครรภ์หลายคนอ่านมาถึงตรงนี้แล้วอาจจะเริ่มกังวลใจ นายแพทย์ธิติพันธุ์ น่วมศิริ สูตินรีแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ (MFM) โรงพยาบาลนวเวช จึงได้มาอธิบายให้ความรู้เกี่ยวกับโรคนี้ เพื่อเป็นแนวทางให้กับคุณแม่ตั้งครรภ์ในการดูแลตัวเองก่อนที่จะสายเกินไป

อาการเป็นอย่างไร

โรคเบาหวานในขณะตั้งครรภ์ ผู้ป่วยมักไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ อาจตรวจพบว่าทารกในครรภ์ตัวโต (macrosomia) ครรภ์แฝดน้ำ (น้ำคร่ำมากผิดปกติ) และในบางรายอาจพบความพิการแต่กำเนิดของทารกได้ แพทย์จึงแนะนำให้มีการตรวจคัดกรองเบาหวานขณะตั้งครรภ์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดปกติของทารก รวมถึงตรวจหาความพิการแต่กำเนิดของทารกในครรภ์

สาเหตุของโรค

มักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนขณะตั้งครรภ์ ทำให้ระบบการเผาผลาญน้ำตาลเปลี่ยนแปลง หรือเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน และต้องการอินซูลินในการเผาผลาญน้ำตาลกลูโคสให้กลายเป็นพลังงานมากขึ้น ทำให้ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ สามารถเกิดได้ทุกช่วงอายุครรภ์ แต่มักเกิดในช่วงครึ่งหลังของการตั้งครรภ์ หรือประมาณ 24-28 สัปดาห์

ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเบาหวานในขณะตั้งครรภ์

  • อายุมากกว่า 35 ปี
  • ภาวะอ้วน หรือน้ำหนักขึ้นเร็วในระหว่างตั้งครรภ์
  • มีญาติใกล้ชิดเป็นเบาหวาน
  • เคยเป็นเบาหวานในขณะตั้งครรภ์
  • ประวัติการคลอดที่ผ่านมาผิดปกติ เช่น ทารกตัวโต (>4000 กรัม) ทารกตายคลอด พิการแต่กำเนิด ภาวะครรภ์แฝดน้ำ (น้ำคร่ำมากผิดปกติ)
  • พบน้ำตาลในปัสสาวะ

แนวทางรักษา

วิธีการรักษาจะคล้ายคลึงกับการรักษาโรคเบาหวานทั่วไป โดยเน้นการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และป้องกันภาวะแทรกซ้อน ในบางกรณี แพทย์อาจจะให้ตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดที่บ้านเพื่อนำมาใช้ในการรักษาต่อไป แนวทางในการรักษาอาจแบ่งง่าย ๆ ออกเป็น 2 วิธี คือ

  1. แบบไม่ใช้ยา (nonpharmacologic treatment) โดยให้ผู้ป่วยควบคุมอาหาร ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค ลดปริมาณอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต จำพวกแป้งและน้ำตาล และเพิ่มสัดส่วนของโปรตีน ไขมัน ผัก ผลไม้ ธัญพืช รวมถึงออกกำลังกายเป็นประจำ
  2. แบบใช้ยา (pharmacologic treatment) เมื่อผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วยตนเอง แพทย์จะรักษาด้วยอินซูลินหรือยากินเพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือด และให้ผู้ป่วยเจาะเลือดตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อปรับการรักษาได้อย่างเหมาะสม

การดูแล

แพทย์จะทำการตรวจคัดกรองตามปัจจัยเสี่ยงของแต่ละคน โดยการซักประวัติและตรวจร่างกาย หากอยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงจะมีการตรวจทันทีตั้งแต่เริ่มฝากครรภ์ และตรวจซ้ำเมื่ออายุครรภ์ 24-28 สัปดาห์ แต่หากไม่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูงจะให้ตรวจเมื่ออายุครรภ์ 24-28 สัปดาห์ โดยการตรวจทำได้ 2 วิธี คือ

1.การตรวจคัดกรองแล้วจึงตรวจวินิจฉัยในรายที่ผลการตรวจคัดกรองผิดปกติ (Two-Step Approach)

  • ตรวจคัดกรองด้วย 50 g Glucose Challenge Test (GCT) เป็นวิธีที่ไม่ต้องงดน้ำและอาหารมาก่อนตรวจ ให้หญิงตั้งครรภ์ดื่มน้ำตาลกลูโคส 50 กรัม แล้วเจาะเลือดหลังดื่มน้ำตาล 1 ชั่วโมง
  • ตรวจวินิจฉัยด้วย 100 g Oral Glucose Tolerance Test (OGTT) เมื่อผลตรวจคัดกรอง 50 g GCT ผิดปกติ โดยต้องงดน้ำและอาหารก่อนตรวจอย่างน้อย 8 ชั่วโมง จากนั้นเจาะเลือดตรวจ Fasting Glucose แล้วให้ดื่มน้ำตาลกลูโคส 100 กรัม จากนั้นเจาะเลือดซ้ำทุก 1 ชั่วโมง จำนวน 3 ครั้ง

2.ตรวจเพื่อการวินิจฉัยโดยไม่ต้องตรวจคัดกรองก่อน (One-Step Approach)

Sponsored
  • ตรวจวินิจฉัยด้วย 75 g Oral Glucose Tolerance Test (OGTT) ทำเช่นเดียวกับ 100 g OGTT โดยต้องงดน้ำและอาหารก่อนตรวจอย่างน้อย 8 ชั่วโมง เจาะเลือดตรวจ Fasting Glucose จากนั้นดื่มน้ำตาลกลูโคส 75 กรัม แล้วเจาะเลือดซ้ำทุก 1 ชั่วโมง จำนวน 2 ครั้ง

ป้องกันอย่างไร

เบาหวานในขณะตั้งครรภ์อาจไม่สามารถป้องกันได้ แต่สามารถลดความเสี่ยงได้ โดยการดูแลตัวเองดังนี้

  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง รับประทานอาหารให้หลากหลายให้เพียงพอต่อความต้องการสารอาหารในแต่ละวัน
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ทั้งก่อนตั้งครรภ์และหลังตั้งครรภ์
  • ควบคุมน้ำหนัก ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติก่อนตั้งครรภ์ และควบคุมน้ำหนักไม่ให้ขึ้นมากเกินไปในระหว่างตั้งครรภ์
  • ตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ เพื่อดูระดับน้ำตาลในเลือดตั้งแต่ก่อนการตั้งครรภ์
  • ฝากครรภ์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่จะได้รับการตรวจเพิ่มเติมอย่างเหมาะสมและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

โดยสรุปแล้ว แม้ว่าภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์จะไม่สามารถป้องกันได้ แต่หากรับประทานอาหารอย่างสมดุล ออกกำลังกายเป็นประจำ รวมถึงการฝากครรภ์เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยป้องกันและลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การฝากครรภ์และการพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดความรุนแรงของโรค

หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสุขภาพ สามารถขอรับคำปรึกษาได้ที่โรงพยาบาลนวเวช โทร.02 483 9999 I www.navavej.com

= = = = = = = = = = = =

ติดตามความรู้ดี ๆ  และสาระดี ๆ เพิ่มเติม สำหรับแม่ตั้งครรภ์ และลูกน้อย ได้ที่ www.konthong.com หรือ ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน ได้ที่
https://www.facebook.com/teamkonthong/

We promise to provide the knowledge and know-how for new mom. More and more solutions about how can you grow up your baby. Feel free to contact us if any problems have occurred or have any questions you would like to know. Don’t forget to follow and keep in touch with us on Facebook

https://www.facebook.com/teamkonthong/

บทความน่ารู้ เพิ่มเติม คลิกเลย …..

1.6 คุณประโยชน์ของนมแพะ มาดูสิว่ามีอะไรบ้าง

2.นมแพะดีอย่างไร ทำไมจึงเป็นตัวช่วยเสริม ที่ดีต่อลูกรัก