เคยมีข่าวที่ผู้ใหญ่ป้อนกล้วยบดให้เด็กทารกกินจนป่วยถึงขั้นเสียชีวิตมาแล้ว เพราะความเชื่อว่ากล้วยจะทำให้เด็กอิ่มท้องอยู่ได้นาน โดยที่ปู่ ย่า ตา ยาย จะทำตามความเชื่อที่ทำกันมานาน ซึ่งในปัจจุบันนี้พบว่าการป้อนกล้วยให้เด็กทารกเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ เพราะทำให้เด็กมีอาการลําไส้อักเสบ หรือลำไส้อุดตันจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยอาหารของเด็กทารกแรกเกิดจนถึง 6 เดือนที่ดีที่สุดคือนมแม่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งหากมีบ้านไหนเกิดพลาดพลั้งป้อนกล้วยให้เด็กไปแล้ว ให้สังเกตอาการของลูกน้อยดูว่ามีอาการผิดปกติเหล่านี้หรือไม่ โดยคุณพ่อคุณแม่ควรรีบพาลูกไปพบแพทย์ทันที
อาการผิดปกติ ที่ไม่ควรนิ่งนอนใจหลังป้อนกล้วยลูก
สำหรับอาการผิดปกติที่คุณแม่ไม่ควรนิ่งนอนใจเลย ก็จะมีดังนี้
1.ปวดท้องแน่นท้องท้องอืด
หลังจากลูกได้กินกล้วยบดเข้าไปทำให้มีอาการร้องงอแง หรือร้องกวนตลอดเวลา เนื่องจากทารกไม่มีน้ำย่อยที่จะมาย่อยกล้วยได้ จึงทำให้เกิดอาการแน่นท้อง ท้องอืด ปวดท้อง เพราะมีลมในกระเพาะอาหาร และลำไส้ คุณแม่สามารถช่วยลูกได้โดยการไล่ลมให้ลูก จะใช้วิธีให้ลูกนอนคว่ำบนหน้าขาคุณแม่แล้วไล่ลมให้ลูก หรือจะอุ้มพาดบ่าให้ลูกเรอก็ได้
2.ท้องผูก
เด็กบางรายเมื่อได้กินกล้วยบดเข้าไปจะมีอาการท้องผูกที่ผิดปกติ ซึ่งเด็กทารกส่วนมากจะถ่ายวันละหลายครั้งโดยเฉพาะเด็กที่กินนมแม่ก็จะถ่ายบ่อยวันละ 7-8 ครั้ง เมื่อมีการป้อนกล้วยบดให้ทารกวัยนี้จะทำให้ระบบย่อยอาหารของเด็กผิดปกติจนทำให้มีอาการท้องผูกได้ ซึ่งสังเกตได้ง่ายมากเวลาลูกถ่ายจะบิดตัวไปมา บางคนอาจจะมีอุจจาระออกมาเป็นสีน้ำตาลเข้ม หรือสีดำหลังจากกินกล้วยไปแล้ว ซึ่งในเด็กบางรายมีอาการท้องผูก 2-3 วัน จึงขับถ่าย หากลูกมีอาการดังนี้ควรพาลูกไปพบแพทย์ เพื่อจะได้รักษาอาการต่อไป
3.คลื่นไส้อาเจียน
เป็นอาการที่เกิดขึ้นจากเด็กมีความเสี่ยงเรื่องลำไส้อุดตัน ซึ่งกล้วยอาจเข้าไปขัดขวางการบีบตัวของลำไส้ จนทำให้อาหารหรือของเหลวต่างๆ เคลื่อนผ่านไม่ได้ นอกจากนี้เด็กอาจจะเกิดอาการแพ้อาหารจนทำให้มีอาการอาเจียนร้องไห้งอแงหลังจากที่กินกล้วยไปแล้วไม่นาน คุณพ่อคุณแม่ต้องสังเกตอาการและหยุดป้อนกล้วยลูก รวมถึงควรพาลูกไปพบแพทย์ทันที ซึ่งอาจจะจำเป็นต้องผ่าตัดลำไส้ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดลำไส้แตกได้
4.สำลัก ไออย่างรุนแรง
หลังจากเด็กกินกล้วยแล้วอาจจะมีอาการสำลัก ซึ่งทำให้เศษอาหารเข้าไปในหลอดลม ขัดขวางทางเดินหายใจของเด็กได้กล้วยที่มีลักษณะเหนียวข้นไม่สามารถทำให้ไอแล้วหลุดออกมาได้ หากลูกมีอาการไออย่างรุนแรงหายใจลำบาก ฝีปากเขียวคล้ำ ต้องรีบพาลูกไปโรงพยาบาลโดยด่วน เพราะเป็นสัญญาณฉุกเฉินที่อาจจะทำให้เกิดการสมองขาดเลือดและเสียชีวิตได้
5.ท้องเสีย
ในเด็กบางคนเมื่อกินกล้วยอาจจะมีอาการท้องเสีย เนื่องจากร่างกายยังไม่อาจรับอาหารชนิดอื่นได้ ซึ่งทำให้ทารกมีการเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และเด็กบางรายอาจจะมีอาการแพ้กล้วยได้
6.คันบริเวณริมฝีปาก ลิ้น และลำคอ ฯลฯ
หากลูกกินกล้วยแล้วมีอาการแบบนี้จัดว่าเป็นอาการแพ้อาหารเฉียบพลัน หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีจะทำให้เกิดอาการช็อคและอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ ซึ่งเนื่องจากเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้ของเด็กยังไม่แข็งแรงจึงทำให้โปรตีนบางชนิดหลุดเข้าไปในกระแสเลือด ทำให้ลูกเกิดการแพ้อาหารและโปรตีนชนิดที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ในกล้วย ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดเดียวกันที่พบในถั่วและผลไม้อื่นๆ อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กเกิดการแพ้อาหารได้นั่นเอง
7.จามและน้ำมูกไหล
อาการแพ้กล้วยอีกอย่างหนึ่งคือหลังจากลูกได้รับกล้วยไปแล้ว จะทำให้มีอาการน้ำมูกไหล คัดจมูก หายใจลำบาก บางครั้งมีจาม และไอร่วมด้วย สาเหตุเกิดจากน้ำมูกไปขัดขวางทางเดินหายใจ หากไม่มีอาการอื่นร่วมด้วยก็สามารถดูแลเฝ้าระวังต่อไปได้ด้วยตัวเอง แต่หากลูกมีอาการจาม และน้ำมูกไหลตลอดไม่ลดลงเลย ก็ควรไปพบแพทย์
8.ถ่ายเป็นมูกเลือด
อาการผิดปกติที่เด็กอาจจะเป็นได้หลังจากกินกล้วย คือลูกจะถ่ายออกยาก และอุจจระจะเหนียวข้นกว่ากินนมแม่ และมีกลิ่นที่แรงขึ้นเล็กน้อย นอกจากนี้อาจพบมีเส้นสีดำปะปนอยู่กับอุจจาระของลูก สำหรับอาการที่น่าเป็นห่วง คือหากลูกถ่ายเป็นมูกเลือดปะปนมากับอุจจาระอาจจะเกิดขึ้นจากลำไส้อักเสบ หรือเกิดจากการแพ้อาหารได้ เพราะฉะนั้นเมื่อคุณแม่ให้ลูกกินกล้วยแล้ว ให้สังเกตอุจจาระของลูกหรือถ่ายรูปไว้ เมื่อเวลาไปพบแพทย์จะได้ให้แพทย์ดูว่าผิดปกติหรือไม่ จะได้รักษาได้ทันท่วงที
ในเด็กวัยแรกเกิดถึง 6 เดือนควรได้รับนมแม่อย่างต่อเนื่องและเพียงพอ ซึ่งจะช่วยในการสร้างระบบภูมิคุ้มกันที่ดีให้ลูกป้องกันการเจ็บป่วยจากการเป็นหวัด และการติดเชื้อโรคต่างๆ ได้ โดยการจะป้อนกล้วยให้ลูกต้องรอจนลูกมีอายุ 7-8 เดือนไปแล้ว ส่วนวิธีการป้อนควรเริ่มจากครั้งละน้อยๆ ประมาณ 1 ช้อนชาโดยครูดเฉพาะส่วนหน้าของกล้วยที่อ่อนนุ่มมาป้อนให้ลูกและผสมน้ำอุ่นเล็กน้อย เพื่อให้สะดวกในการกลืน ไม่ควรขูดกล้วยเป็นก้อนเหนียวๆ และป้อนใส่ปากลูกทันที เนื่องจากมีความเข้มข้นมากเกินไป ทำให้กระเพาะอาหารและลำไส้ของลูกไม่สามารถที่จะปรับตัวเพื่อย่อยได้
= = = = = = = = = = = =
ติดตามความรู้ดี ๆ และสาระดี ๆ เพิ่มเติม สำหรับแม่ตั้งครรภ์ และลูกน้อย ได้ที่ www.konthong.com หรือ ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน ได้ที่
https://www.facebook.com/teamkonthong/
We promise to provide the knowledge and know-how for new mom. More and more solutions about how can you grow up your baby. Feel free to contact us if any problems have occurred or have any questions you would like to know. Don’t forget to follow and keep in touch with us on Facebook
https://www.facebook.com/teamkonthong/
บทความน่ารู้ เพิ่มเติม คลิกเลย …..
1.10 อาหารวิตามินอี คนท้องควรกิน เพื่อสุขภาพครรภ์ที่ดี
2.อาหารที่คนท้องควรกิน และไม่ควรกิน สำหรับคนท้องกรุ๊ปเลือด B