ไอเป็นหนึ่งในอาการป่วยที่สร้างความรำคาญไม่น้อยไม่ว่าจะเป็นเด็ก หรือผู้ใหญ่ เป็นสิ่งที่คุณแม่ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับลูกรักมากที่สุดไม่ว่าจะเป็นบ้านไหนก็ตาม เพราะนอกจากจะสร้างความน่ารำคาญใจแล้ว ยังทำให้ลูกน้อยไม่ได้พักผ่อน นอนไม่สบาย งอแงหนัก อีกทั้งยังมีปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย แล้วอาการไอแบบไหนบ้างล่ะที่เป็นอันตราย วันนี้เรามีคำตอบมาให้คุณแม่ได้รู้กัน พร้อมกับวิธีการรักษาดังนี้
7 อาการไอของลูกน้อย ที่ไม่ปกติ
สำหรับอาการไอของลูกน้อยที่ไม่ปกติ และควรพาลูกไปพบแพทย์ด่วนก็มี 7 อาการดังต่อไปนี้
1.ไอแบบมีเสมหะ
หากลูกน้อยมีอาการไอแบบมีเสมหะ น้ำมูกไหล คอแห้ง น้ำตาไหล เบื่ออาหาร อาการเหล่านี้เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าลูกน้อยอาจเป็นไข้ ซึ่งสามารถหายเองได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ โดยอาการจะหนักในช่วงวันแรกๆ วิธีการรักษาเบื้องต้นให้ลูกน้อยอยู่ในสภาพอากาศที่อบอุ่น ให้เขาดื่มน้ำให้มากๆ ไม่ต้องใช้ยาอะไรเนื่องจากไอแบบนี้จะหายไปเองภายในเวลาไม่กี่วัน หากมีอาการผิดปกติ ไอหนักกว่าเดิมคุณแม่อาจไม่สบายใจแนะนำให้ไปปรึกษาคุณหมอจะดีที่สุด
2.ไอมีลักษณะเหมือนเห่า
ช่วงค่ำคุณแม่อาจพาลูกน้อยเข้านอนด้วยอาการเพียงแค่คัดจมูกเล็กน้อย อยู่ๆ คุณได้ยินเสียงเจ้าตัวเล็กไอเหมือนกับเห่า คล้ายๆ เสียงแมวร้องข้างๆ ห้อง บวกกับอาการหายใจลำบาก ลูกน้อยอาจมีอาการติดเชื้อไปที่กล่องเสียง สันนิษฐานได้ว่าลูกรักของคุณอาจเป็นหวัดมักจะเกิดขึ้นได้กับเด็กอายุ 3 เดือน - 6 ปี อาการไอเหล่านี้มักจะหายในตอนเช้าและเกิดขึ้นอีกในช่วงกลางคืน วิธีการรักษาที่ดีที่สุด เบื้องต้นจัดลูกน้อยของคุณให้นอนในห้องที่มีสภาพอากาศอบอุ่น ดื่มน้ำให้มากๆ ไอแบบนี้จะหายได้เอง แต่ถ้านานมากแล้ว ไม่มีวี่แววว่าจะหายหรือทุเลาลงแนะนำให้คุณแม่พาลูกน้อยเข้าพบคุณหมอ
3.ไอจนน่าสงสาร
หากลูกน้อยไอจนไม่มีแรง ไข้ขึ้นสูง คัดจมูก ปวดเนื้อปวดตัว อาการแบบนี้ต้องระวังเป็นอย่างมากเพราะลูกน้อยมีความเสี่ยงที่จะเป็นไข้หวัดใหญ่ Influenza หากเป็นไข้หวัดใหญ่เด็กจะต้องใช้ระยะเวลาในการพักฟื้นและรักษาตัวนานกว่าผู้ใหญ่ ซึ่งลูกน้อยอาจติดจากคนรอบข้าง หรือเพื่อนักเรียนด้วยกัน แนะนำให้เจ้าตัวเล็กทานน้ำให้เยอะๆ หาหมอเพื่อที่จะได้รักษาอย่างถูกวิธี
4.มีอาการไอแห้งๆ ในช่วงกลางคืน
หากมีอาการไอเป็นเวลานาน โดยเฉพาะกลางคืน สาเหตุอาจเกิดจากการอยู่ในสถานที่ที่มีอุณหภูมิที่เย็นจนเกินไป หรืออีกสาเหตุหนึ่งมาจาการเป็นโรคหอบหืด ถ้าคุณแม่สงสัยว่าลูกน้อยเสี่ยงหรือมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคหอบหืดให้พบหมอเพื่อที่จะได้รักษาได้อย่างท่วงทัน
5.ไอกรน
ไอกรน เกิดขึ้นจากเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า pertussis โดยแบคทีเรียชนิดนี้จะทำการจู่โจมระบบทางเดินหายใจ ส่งผลให้หายใจได้ลำบาก มักจะเกิดกับทารกที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ กรณีที่ร้ายแรงลูกน้อยอาจมีอาการสำลักและอาเจียร คุณแม่จะต้องหมั่นสังเกตุหากพบความผิดปกติ หรืออาการดังกล่าวรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที จะต้องมีการแยกลูกน้อยออกจากเด็กคนอื่นๆ เพื่อจะได้ไม่ติดต่อ
6.ไอแบบฮืดฮาด ไอในลำคอ
หากลูกน้อยมีอาการไอในลักษณะนี้อาจเกี่ยวข้องกับหลอดลมเล็ก ลามไปถึงระบบทางเดินหายใจ สามารถเกิดขึ้นได้กับทารกทุกคนเมื่อเจอสภาพอากาศที่เย็นลง ไม่ได้ร้ายแรงมากสักเท่าไหร่แต่หากคุณแม่เห็นว่าลูกน้อยหายใจลำบาก หรือทานน้ำไม่ได้เลย ให้ปรึกษาคุณหมอโดยด่วนเพื่อไม่ให้อาการหนักไปกว่าเดิม
7.ไอแบบเละ
หากไอมานานหลายอาทิตย์ ไม่มีวี่แววดีขึ้นเลย แถมอาการเหมือนจะแย่ลงมากว่าเดิม อาการเหล่านี้เกิดจากการที่ pneumonia แบคทีเรียหรือไวรัสพยายามแทรกซึมเข้าไปในปอด โดยที่ร่างกายของเจ้าตัวเล็ก พยายามขจัดของเหลวเหล่านี้ออกไปจากปอด วิธีการรักษาคุณหมออาจต้อง X-Ray เพื่อทำการวินิจฉัย ถ้าอาการไม่หนักมากคุณแม่สามารถพาลูกน้อยกลับไปรักษาตัวที่บ้านได้
วิธีรับมือเมื่อลูกมีอาการไอ
หากลูกมีอาการไอจะรับมือได้อย่างไร ถ้าอยากรู้มาดูกันเลย
1.ดื่มน้ำเยอะๆ
เมื่อลูกน้อยมีอาการไอ แนะนำให้ดื่มน้ำมากขึ้นกว่าปกติ โดยนำจะเป็นตัวช่วยในการละลายเสมหะ ทำให้ชุ่มคอช่วยลดอาการไอแห้งๆเหล่านั้นออกไปได้ ถ้าเป็นน้ำอุ่นหรือน้ำอุณหภูมิจะดีกว่าน้ำเย็น เพราะช่วยลดละลายเสมหะได้ดีกว่านั่นเอง
2.งดอาหารจำพวกของทอด ของมัน
ควรงดอาหารเหล่านี้เด็ดขาด เพราะสิ่งเหล่านี้จะเข้าไปกระตุ้นอาการระคายเคืองภายในลำคอ ส่งผลให้มีอาการไอมากขึ้น
3.หลีกเลี่ยงการอยู่ในห้องที่มีอากาศเย็น
เพราะความเย็นจะเข้าไปกระตุ้นหลอดลม ให้หลอดลมหดตัวมีอาการไอขึ้นมา แม้ว่าอากาศจะร้อนก็ไม่ควรให้ลูกน้อยโดนลมหรือแอร์ คุณแม่ควรเลือกเปิดแอร์แบบสวิง หรือเปิดพัดลมแบบส่ายไปมา
4.สร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย
ก่อนที่จะพาลูกน้อยเข้านอนควรสวมใส่เสื้อผ้าที่มิดชิดเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว ใส่ถุงเท้า ให้ลูกน้อยนอนห่มผ้าทำให้ร่างกายอบอุ่น
เป็นอย่างไรบ้างคะ สำหรับการดูแลลูกรักไม่ยากอย่างที่คิด หากคุณแม่ลูกลักษณะอาการไอของลูกน้อยจะได้ตัดสินใจไม่ต้องวิตกกังวลมากนัก อย่างไรก็ตามคุณแม่จะต้องดูแลสุขภาพลูกน้อยเพื่อไม่ให้เกิดการเจ็บป่วยได้ง่ายจะดีกว่า
= = = = = = = = = = = =
ติดตามความรู้ดี ๆ และสาระดี ๆ เพิ่มเติม สำหรับแม่ตั้งครรภ์ และลูกน้อย ได้ที่ www.konthong.com หรือ ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน ได้ที่
https://www.facebook.com/teamkonthong/
We promise to provide the knowledge and know-how for new mom. More and more solutions about how can you grow up your baby. Feel free to contact us if any problems have occurred or have any questions you would like to know. Don’t forget to follow and keep in touch with us on Facebook
https://www.facebook.com/teamkonthong/
บทความน่ารู้ เพิ่มเติม คลิกเลย …..
1.ลูกไม่กินข้าว เกิดจากอะไร และวิธีการรับมือ
2.เพราะอะไร ลูกมักอาเจียนหลังดื่มนม และเป็นอันตรายไหม