เลือดกำเดาไหลเป็นภาวะที่พบบ่อยในเด็กอายุ 2-3 ขวบ มักมีอาการที่ไม่รุนแรง และเลือดจะหยุดเองเมื่อผ่านไปไม่ถึง 10 นาที แต่บางกรณีอาการเลือดกำเดาไหลในเด็กก็อาจจะเป็นสัญญาณเตือนความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นได้เช่นกัน สาเหตุเลือดกำเดาไหล เกิดจากอะไร เป็นอันตรายหรือไม่ เรามาดูสาเหตุ พร้อมวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นอย่างถูกต้องในบทความนี้กันเลยดีกว่า
สาเหตุเลือดกำเดาไหลในเด็กที่คุณแม่ต้องรู้
เลือดกำเดาไหล สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ พบได้บ่อยในเด็กเล็ก ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นสัญญาณเตือนโรคร้ายแรง แต่อย่างใด โดย สาเหตุเลือดกำเดาไหล ส่วนใหญ่มักจะมาจากปัจจัยดังต่อไปนี้
เกิดจากสภาพอาการที่แห้ง
สภาพอากาศที่แห้ง หรือสภาวะที่ร้อนเกินไป เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการเลือดกำเดาไหลได้ เนื่องจากสภาพอากาศดังกล่าว ส่งผลทำให้เนื้อเยื่อในโพรงจมูกแห้ง และคัน เด็กก็จะพยายามแกะ แคะ หรือเกาจมูกบ่อย ๆ จนทำให้เส้นเลือดฝอยบริเวณเยื่อบุจมูกแตกง่าย และเกิดเลือดกำเดาไหล
การใช้ยาบางชนิด
การใช้ยาบางชนิดเพื่อบรรเทาอาการภูมิแพ้ หรือเป็นหวัดคัดจมูกในเด็ก อาจส่งผลทำให้เนื้อเยื่อในโพรงจมูกแห้ง และเสี่ยงต่อการเกิด เลือดกำเดาไหล ได้ง่าย
การเกิดอุบัติเหตุ
อีกหนึ่ง สาเหตุเลือดกำเดาไหล ในเด็กที่พบได้บ่อยนั่นก็คือ การเกิดอุบัติเหตุ หรือถูกกระแทกบริเวณใบหน้า จมูก และศีรษะ ส่งผลทำให้หลอดเลือดภายในจมูกเกิดความเสียหาย และมีเลือดกำเดาไหลได้
ปัจจัยอื่นๆ
นอกจากนี้ สาเหตุเลือดกำเดาไหล ยังอาจเกิดจากปัจจัยอื่น ๆ เช่น การสูดดมสารพิษ การติดเชื้อแบคทีเรีย ภาวะแข็งตัวของเลือดที่ผิดปกติ รวมถึงเด็กที่มีโครงสร้างจมูกผิดปกติ หรือมีเนื้องอกในจมูก เป็นต้น
อาการเลือดกำเดาไหลแบบไหน อันตราย
ถึงแม้ว่า สาเหตุเลือดกำเดาไหล ส่วนใหญ่จะไม่เป็นอันตรายในเด็กแต่อย่างใด แต่บางกรณีก็เป็นสัญญาณเตือนความผิดปกติของร่างกาย และอันตรายได้เช่นกัน คุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองควรหมั่นสังเกตความผิดปกติดู หากบุตรหลานมีอาการเลือดกำเดาไหลร่วมกับอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบพาไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยทำการรักษาอย่างเร่งด่วน
- เลือดกำเดาไหล พร้อมทั้งมีเลือดออกตามไรฟัน หรือลิ้น
- เลือดออกบริเวณผิวหนัง พร้อมทั้งมีพรายย้ำ จ้ำเขียว หรือมีจุดแดง หรือจุดเลือดออกตามตัว
- ปัสสาวะมีสีน้ำล้างเลือด หรือถ่ายเป็นสีดำคล้ายกับยางมะตอย หรือมีเลือดปนออกมา
- มีไข้สูงมากกว่า 38 องศา
- มีอาการปวดหัว อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ไม่กระฉับกระเฉง ตัวซีดลง
หากมีอาการดังที่กล่าวมานี้ อาจเป็นอาการของโรคที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน ผู้ปกครองควรพาบุตรหลานไปพบแพทย์ทันที เพราะนี่อาจจะเป็นอาการของไข้เลือดออก หรือความผิดปกติทางร่างกายที่ร้ายแรงได้
วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น
เมื่อพบว่าลูกเลือดกำเดาไหล คุณแม่ผู้ปกครองส่วนใหญ่มักจะกระวนกระวายจนทำอะไรไม่ถูก แต่จริง ๆ แล้ว สาเหตุเลือดกำเดาไหลไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายเด็กแต่อย่างใด คุณแม่และผู้ปกครองควรตั้งสติ และช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้นง่าย ๆ ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
- ให้เด็กนั่งตัวตรง พร้อมทั้งก้มหน้าเล็กน้อย หลีกเลี่ยงการเงยหน้า บีบจมูก หรือเอนหลังขณะที่เลือดกำเดาไหลเด็ดขาด เพราะเลือดอาจไหลลงสู่ลำคอ และอาจนำไปสู่อาการอื่น ๆ ตามมาได้อย่างเช่น การสำลัก การไอ หรืออาเจียนได้
- หลังจากที่เลือดกำเดาหยุดไหลแล้ว พยายามให้เด็กหลีกเลี่ยงการแคะ แกะจมูก หรือสั่งน้ำมูก พร้อมทั้งงดกิจกรรมต่าง ๆ ที่อาจเกิดการกระแทกจมูก เพื่อป้องกันเลือดกำเดาไหลซ้ำอีก
- หากทำตามวิธีข้างต้นแล้ว ผ่านไปมากกว่า 10 นาที เลือดกำเดายังไม่หยุดไหล อาการไม่ดีขึ้น คุณแม่ผู้ปกครองควรพาบุตรหลานไปพบแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยรักษาอย่างถูกต้อง
การดูแลป้องกันไม่ให้เลือดกำเดาไหล
เลือดกำเดาไหล สามารถเกิดขึ้นได้กับเด็กทุกคน โดยเฉพาะเด็กที่ป่วยด้วยโรคภูมิแพ้ เลือดกำเดาไหลไม่ใช่อาการที่น่ากังวล หรือเกิดโรคร้ายแรงแต่อย่างใด สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย หากไม่อยากให้ลูกมีอาการเลือดกำเดาไหล เราสามารถป้องกัน สาเหตุเลือดกำเดาไหล ได้ง่าย ๆ ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
- ป้องกันไม่ให้บริเวณเยื่อบุจมูกของลูกแห้ง เพราะหากมีบริเวณดังกล่าวแห้ง เด็กอาจจะคันและเกิดการแคะ แกะจมูกได้ ควรทาวาสลีนเคลือบรูจมูกก่อนนอน จะช่วยลดความเสี่ยงได้
- ปรับอากาศในห้องนอนไม่ให้แห้ง หรือเย็นจนเกินไป เพราะสภาวะอากาศแห้ง ก็เป็นอีกหนึ่ง สาเหตุเลือดกำเดาไหล ในเด็กเล็กด้วยเช่นกัน
- หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่อาจส่งผลทำให้เกิดอุบัติเหตุทางศีรษะ เพื่อลดความเสี่ยงการเกิด เลือดกำเดาไหล
- ให้ลูกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง มีภูมิคุ้มกันต่อโรค โดยเน้นการทานผัก และผลไม้ เพื่อเสริมวิตามินซี เพื่อช่วยให้หลอดเลือดฝอยในจมูกแข็งแรง ลดปัจจัยเสี่ยงเลือดกำเดาไหลให้ออกน้อยลง
- กรณีที่ลูกต้องทานยาเพื่อลดอาการภูมิแพ้อากาศ หรืออาการหวัดในเด็ก หากมีอาการเลือดกำเดาไหล ให้ปรึกษาแพทย์ หรือเภสัช เพื่อเปลี่ยนยารักษาที่ไม่ส่งผลต่อการเกิดเลือดกำเดาไหลในเด็ก
เลือดกำเดาไหล สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในเด็กที่อายุต่ำกว่า 3 ขวบ หากลูกมีอาการเลือดกำเดาไหล คุณแม่ควรตั้งสติ และช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ลูกอย่างถูกต้อง พร้อมทั้งสังเกตอาการ หากพบว่าผ่านไปแล้วเกือบ 30 นาที เลือดกำเดายังไม่หยุดไหล ควรพาลูกไปพบแพทย์เพื่อหา สาเหตุเลือดกำเดาไหล และรักษาอย่างถูกต้องและตรงจุด
= = = = = = = = = = = =