เมื่อลูกน้อยเกิดมาสู่โลกนอกแล้ว ลูกน้อยจำเป็นต้องได้รับวัคซีนพื้นฐานเพื่อเป็นการสร้างเกราะป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งการฉีดวัคซีนเป็นสิ่งจำเป็น ทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดภูมิต้านทาน และปกป้องลูกน้อยจากการเจ็บป่วยได้ เด็กทุกคนจึงจำเป็นต้องได้รับวัคซีนตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งคุณแม่สามารถดูรายละเอียดของการฉีดวัคซีนได้ในสมุดคู่มือที่พกติดตัวลูกน้อย วันนี้เราจะพาคุณแม่ไปทำความเข้าใจกับความสำคัญของการฉีดวัคซีนกันค่ะ
ความสำคัญของ วัคซีนพื้นฐาน
การฉีดวัคซีนพื้นฐานให้เด็กแรกเกิดทุกคน เป็นการป้องกันโรคร้ายแรงต่างๆ ไม่ให้เกิดขึ้นกับเด็ก ซึ่งวัคซีนพื้นฐานจำเป็นที่เด็กทุกคนควรจะได้รับ ตามคำแนะนำของสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย ตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขที่กำหนดให้เด็กทุกคนได้ฉีดเพื่อช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายเด็กไทยทุกคน โดยผู้ปกครองสามารถนำเด็กไปรับวัคซีนต่างๆ ได้ตามตารางในสมุดคู่มือประจำตัวเด็ก
วัคซีนอะไรบ้างที่ลูกต้องฉีด
วัคซีนพื้นฐานที่เด็กต้องได้รับทั้งหมดมี 10 ชนิด ซึ่งจะช่วยป้องกันให้เด็กมีภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ ได้ดี วัคซีนพื้นฐานที่เด็กต้องได้รับการฉีด ได้แก่
2.ตับอักเสบบี
3.คอตีบ
4.ไอกรน
5.บาดทะยัก
6.โปลิโอ
7.หัด
8.หัดเยอรมัน
9.คางทูม
10.ไข้สมองอักเสบเจอี
การฉีดวัคซีนเด็กบางชนิดเด็กต้องได้รับการฉีดมากกว่า 1 ครั้ง จึงจะสามารถป้องกันโรคได้ โดยเด็กทุกคนควรได้รับวัคซีนตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด และเป็นการบริการให้ฟรีแก่เด็กทุกคน
รายละเอียดการฉีดวัคซีนให้เด็ก
- วัคซีนวัณโรค(BCG )จะฉีดเมื่อแรกคลอด ซึ่งส่วนมากจะฉีดที่โรงพยาบาลก่อนกลับบ้าน บริเวณที่ไหล่ซ้าย หรือสะโพก หลังจากนั้นอาจมีตุ่มหนองเล็กๆ เกิดขึ้นได้
- วัคซีนตับอักเสบบี(HBV) ลูกน้อยควรฉีดตั้งแต่ตอนแรกเกิด และ ฉีดเข็มที่2 ตอนอายุ1เดือน และ 6 เดือน
- วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน (DPT) ลูกน้อยจะได้รับการฉีดควรฉีดตามช่วงอายุตั้งแต่ 2เดือน 4 เดือน และ 6 เดือน นอกจากนี้ยังฉีดเพื่อกระตุ้นการทำงานของวัคซีนอีกครั้งในช่วงอายุ 1 ปีครึ่ง อายุ4-6 ปี และช่วงอายุ 11-12 ปี ซึ่งช่วงอายุนี้จะฉีดเฉพาะวัคซีนป้องกันบาดทะยัก-คอตีบ
- วัคซีนโปลิโอ มีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ ชนิดกินหรือหยอด และชนิดฉีด ลูกน้อยควรได้รับวัคซีนตามช่วงอายุตั้งแต่ 2 เดือน 4 เดือน 6 เดือน, 1 ปี 6 เดือน และ อายุ 2ปีครึ่ง
- วัคซีนหัด-หัดเยอรมัน-คางทูม(MMR) / และวัคซีนไข้สมองอักเสบเจอี (JE) ควรฉีดตามช่วงอายุคือ 1 ปี และ 2 ปี 6 เดือน
นอกจากนี้ยังมีวัคซีนเสริมที่เด็กควรได้รับเพื่อประโยชน์ของสุขภาพลูกรัก คุณแม่ควรพิจารณาให้ลุกได้ฉีดเพื่อป้องกัน ซึ่งมี 2 ชนิดคือ
- วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ควรฉีดในเด็กปีละครั้ง ตั้งแต่อายุ 6เดือน ถึง 18 ปี สำหรับเด็กในปีแรกให้ฉีด 2 เข็ม โดยฉีดห่างกัน 4 สัปดาห์
- วัคซีนเอชพีวี(HPV) เป็นวัคซีนที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของมะเร็งปากมดลูก สามารถป้องกันเฉพาะเด็กผู้หญิงเท่านั้น ส่วนชนิด 4 สายพันธุ์จะเพิ่มป้องกันการเกิดหูดอวัยวะเพศได้ด้วย ใช้ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ช่วงวัยที่เหมาะสมที่แนะนำคืออายุ 9 ปีขึ้นไป
หลังฉีดวัคซีน ต้องดูแลลูกอย่างไร
เมื่อคุณแม่ได้นำลูกน้อยมารับวัคซีนพื้นฐานตามตารางที่มีในสมุดคู่มือเด็ก ตามกำหนดเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง แต่ผลกระทบจากการฉีดวัคซีน คือลูกจะมีอาการต่างๆ ตามมาซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรเตรียมตัวรับมือในการดูแลลูกอย่างไรได้บ้าง
1.หากลูกร้องไห้โยเย
คุณแม่ควรสร้างความอบอุ่นใจให้กับลูก ด้วยการอุ้มลูก หรือปลอบลูก พร้อมทั้งเบี่ยงเบนความสนใจด้วยการพาไปเดินเล่น หรือร้องเพลงให้ลูกฟัง รวมถึงเล่านิทานที่ลูกชอบ
2.พบผื่นขึ้น
คุณแม่ไม่ต้องตกใจ เพราะผื่นมักจะหายไปเองภายใน 2-3 วัน ควรดูแลด้วยการให้ลูกสวมใส่เสื้อผ้า ที่ระบายอากาศได้ดี จะช่วยให้ลูกน้อยสบายตัวขึ้นได้ คุณแม่ควรสังเกตผื่นที่ขึ้น หากเกิน 3 วันยังไม่หาย ควรพาลูกไปพบกุมารแพทย์
3.ไข้หลังฉีดวัคซีน
อาการเป็นไข้หลังจากฉีดวัคซีนพื้นฐาน จะเกิดขึ้นได้กับเด็กเกือบทุกคน คุณแม่ควรเช็ดตัวให้ลูก เพื่อลดความร้อนในร่างกาย เน้นบริเวณซอกคอ ข้อพับต่างๆ หากเช็ดตัวแล้วไข้ยังไม่ลด อาจให้ยาลดไข้ตามคำสั่งของกุมารแพทย์
4.อาการปวด บวม จุดที่ฉีด
เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวด บวมบริเวณที่ฉีด ควรประคบด้วยน้ำแข็งเพื่อลดอาการปวด บวมให้ลูกได้
5.เป็นไตหรือเป็นแผลบริเวณที่ฉีด
ให้คุณแม่สังเกตุอาการของลูกจากแขนข้างที่รับการฉีดวัคซีนเด็ก มาแล้วว่าสามารถยกแขนขึ้นได้เป็นปกติหรือไม่ ส่วนบริเวณที่เป็นแผลอาจเกิดอาการติดเชื้อ หรือเป็นตุ่มหนองได้ ควรพาลูกไปพบคุณแพทย์
6.เป็นฝีบริเวณที่ฉีด
การเป็นฝี เกิดจากร่างกายได้สร้างกลไกการต้านเชื้อโรคขึ้น ภายใต้ชั้นผิวหนังซึ่งลักษณะเป็นตุ่ม เป็นก้อน และจะหายไปได้เองในเวลาไม่นาน เน้นการดูแลเรื่องความสะอาดของบริเวณตุ่ม ห้ามบีบ กด หรือทำอะไรที่อาจทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อได้
การฉีดวัคซีนพื้นฐานให้กับเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนอายุครบ 12 ปี เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในการป้องกันไม่ให้เจ็บป่วยจากโรคต่างๆ ซึ่งช่วยให้ลดการเกิดความเจ็บป่วยในเด็กลงได้มาก สำหรับค่าใช้จ่ายในการฉีดวัคซีนพื้นฐาน รัฐจะเป็นผู้ดูแลทั้งหมด แต่ผู้ปกครองจะต้องนำเด็กไปขอรับการฉีดวัคซีนในสถานพยาบาลของรัฐทุกแห่ง รวมถึงอนามัยใกล้บ้านที่เด็กอาศัยอยู่ก็ได้เช่นกัน
= = = = = = = = = = = =
ติดตามความรู้ดี ๆ และสาระดี ๆ เพิ่มเติม สำหรับแม่ตั้งครรภ์ และลูกน้อย ได้ที่