เด็กเป็นวัยที่มีภูมิคุ้มกันร่างกายน้อยจึงทำให้เกิดเจ็บป่วยและติดเชื้อได้ง่าย ซึ่งแตกต่างจากผู้ใหญ่ที่เป็นวัยรุ่นวัยทำงาน การทำประกันสุขภาพให้เด็กจึงเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำให้กับลูก เพราะเด็กเป็นวัยที่ซุกซนไม่ชอบอยู่นิ่งจึงมักจะเกิดอุบัติเหตุอยู่บ่อยครั้ง การทำประกันสุขภาพให้กับเด็กวัยนี้จึงถือว่าคุ้มค่าและตอบโจทย์มากที่สุด ซึ่ง ประกันชีวิตเด็ก และประกันสุขภาพแบบไหนคุณพ่อคุณแม่ควรทำให้ลูกมากกว่ากันวันนี้เรามีคำตอบ
ประกันสุขภาพกับ ประกันชีวิตเด็ก ต่างกันยังไง
ในปัจจุบันการทำประกันชีวิตนั้นมีให้เลือกหลากหลายรูปแบบมีทั้งประกันที่เป็นรูปแบบประกันสุขภาพและรูปแบบประกันชีวิตที่เมื่อมีการจ่ายเบี้ยประกันจนครบสัญญาแล้วจะมีเบี้ยประกันคืนให้กับผู้ทำประกัน โดย ประกันสุขภาพเด็ก และประกันชีวิตต่างกันอย่างไรมาดูความแตกต่างของประกันทั้งสองอย่างนี้กัน
ประกันสุขภาพ
ประกันสุขภาพของเด็กคือการประกันภัยที่มีบริษัทประกันภัยตกลงที่จะให้ความคุ้มครองด้านค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นกับโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ให้กับผู้ที่ทำประกันเอาไว้ไม่ว่าจะเจ็บป่วยอาการเล็กน้อยไปหาหมอรับยาแล้วกลับบ้าน หรือจะเจ็บป่วยหนักถึงขั้นนอนโรงพยาบาลเป็นเวลานานอย่างโรคร้ายแรงต่างๆ ทั้งนั้นประกันสุขภาพคุ้มครองโรคอะไรบ้างนั้นก็ขึ้นอยู่กับแผนประกันสุขภาพในแต่ละแผนที่คุณพ่อคุณแม่ได้เลือกทำให้กับลูกด้วยนั่นเอง
ประกันชีวิต
ประกันชีวิตคือ การชดเชยรายได้ที่ต้องสูญเสียไปอันเนื่องมาจากการเสียชีวิต ทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง หรือชราภาพ โดยบริษัทที่ทำประกันชีวิตเอาไว้จะจ่ายเงินตามจำนวนที่ได้ระบุไว้ให้แก่ผู้ที่ทำประกัน หรือผู้ที่ได้รับประโยชน์ตามกำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันชีวิต หรืออีกนัยหนึ่งประกันชีวิตหมายถึง สัญญาซึ่งบริษัทประกันชีวิตตกลงจะใช้เงินจำนวนหนึ่งชดเชยเมื่อมีเหตุในอนาคตดังที่ระบุไว้ในสัญญา กล่าวคือเมื่อผู้ประกันชีวิตมรณะลงภายในสัญญาที่ตกลงเอาไว้ หรือยังมีชีวิตอยู่ถึงเวลาที่ได้ตกลงกันไว้ บริษัทประกันจะต้องทำการส่งเงินซึ่งเรียกว่าเบี้ยประกันภัยให้แก่ผู้ที่ทำประกันชีวิตเอาไว้นั่นเอง
ควรทำประกันแบบไหนให้ลูกมากกว่า
เนื่องจากเด็กมีภูมิคุ้มกันต่อโรคต่ำจึงทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย คุณพ่อคุณแม่จึงควรเลือกทำ ประกันสุขภาพเด็กให้ลูกมากกว่าทำ ประกันชีวิตเด็ก เพราะเด็กเล็กมีโอกาสที่จะเจ็บป่วยได้ง่ายการทำประกันสุขภาพให้เด็กจึงคุ้มค่ามากกว่า
ทำประกันให้ลูกได้ตั้งแต่กี่ขวบ
คุณพ่อคุณแม่ที่ต้องการจะทำประกันสุขภาพให้กับลูกสามารถสมัครได้ตั้งแต่ 15 วันแรกเกิดได้เลย เพราะบริษัทประกันชีวิตในปัจจุบันรับทำ ประกันชีวิตเด็ก ตั้งแต่แรกเกิดเลย เพราะเข้าใจในปัญหาสุขภาพเด็กเล็กที่มีโอกาสที่จะเจ็บป่วยได้ง่ายเพราะเด็กมีภูมิต้านทานต่อโรคน้อยและมีโอกาสป่วยมากกว่าผู้ใหญ่
เบี้ยประกันจ่ายแบบไหนได้บ้าง
ประกันชีวิตเด็ก สามารถจ่ายได้ 2 รูปแบบคือ เหมาจ่ายรายปี และจ่ายรายเดือน ซึ่งถ้าจ่ายเบี้ยประกันเป็นรายปีไม่ไหวผู้ประกันสามารถขอชำระได้ 3 แบบ คือชำระเบี้ยประกันทุกๆ 1 เดือน ชำระเบี้ยประกันทุกๆ 3 เดือน และชำระเบี้ยประกันทุกๆ 6 เดือน
หลักการเลือกประกันที่ดีสำหรับลูกรัก
หลักการเลือกประกันที่ดีให้กับลูกนั้นคุณพ่อคุณแม่จะต้องพิจารณาในหลายๆ ข้อเพราะเด็กแรกเกิดถึง 5 ขวบจะมีอาการเจ็บป่วยค่อนข้างสูง เนื่องจากว่าเด็กมีภูมิคุ้มกันต่อโรคน้อยทำให้ต้องเข้าทำการรักษาค่อนข้างเยอะ สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องพิจารณาในการเลือก ประกันสุขภาพเด็ก สำหรับลูกรักก็จะมีดังนี้
1.เลือกประกันตามเงื่อนไขความคุ้มครอง
สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องพิจารณาในการเลือก ประกันชีวิตเด็ก ให้กับลูกคือพิจารณาวงเงินที่ให้ความคุ้มครองว่า บริษัทประกันจะจ่ายแบบครั้งต่อครั้งหรือแบบเหมาจ่าย ซึ่งเงื่อนไขของทั้งสองแบบนี้จะมีความแตกต่างกันพอสมควร และมีเงื่อนไขใดๆ อีกบ้าง
2.เลือกตามความสามารถของกำลังทรัพย์
ประกันชีวิตเด็ก เป็นเบี้ยประกันที่จะต้องส่งระยะยาว จะมีกำลังส่งจนกว่าจะหมดอายุประกันหรือไม่ ซึ่งการทำประกันนั้นเป็นการประกันความเสี่ยงในยามที่ลูกเจ็บป่วย หากไม่เกินวงเงินหรือเกินความสามารถของกำลังทรัพย์ ก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าอะไรเพิ่มเลย
3.เลือกประกันความคุ้มครองผู้ป่วยนอก
ความคุ้มครองผู้ป่วยนอกคือการรักษาแบบไม่ต้องนอนโรงพยาบาล ซึ่งประกันจะรับผิดชอบในส่วนนี้ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่จะต้องให้ความสำคัญกับวงเงินค่ารักษาแบบผู้ป่วยนอกในการเลือกประกันสุขภาพของเด็ก เพราะหากเลือกประกันสุขภาพที่ให้วงเงินในการรักษาแบบผู้ป่วยนอกน้อย และลูกเกิดมีอาการเจ็บป่วยบ่อยครั้ง จะทำให้ต้องจ่ายค่ารักษาเพิ่มจากที่ประกันรับผิดชอบบ่อยๆ เพราะฉะนั้นควรเลือกประกันสุขภาพของเด็กที่ให้ความคุ้มครองผู้ป่วยนอกในวงเงินเพียงพอจะเป็นผลดีกว่า
4.เลือกความคุ้มครองแบบผู้ป่วยใน
เลือกความคุ้มครองผู้ป่วยใน คือการรักษาในโรงพยาบาล ความคุ้มครองประเภทนี้รองรับความเสี่ยงเมื่อลูกเจ็บป่วยจนต้องนอนโรงพยาบาลเพราะจะคุ้มครองผู้ป่วยใน และควรเลือกประกันสุขภาพที่ให้วงเงินที่เหมาะสมและเพียงพอ
5.เลือกตัวแทนประกันที่ไว้ใจได้
เลือกตัวแทน ประกันชีวิตเด็ก ที่ไว้ใจได้ตรงไปตรงมาและจริงใจ ตรงต่อเวลา มีความรับผิดชอบสูงและติดต่อได้ง่ายในยามที่ต้องการใช้บริการ เพราะตัวแทนประกันคือคนที่จะคอยดูแลผลประโยชน์และตอบคำถามเกี่ยวกับความคุ้มครองและให้คำปรึกษาในวันที่ต้องเข้ารับการรักษาทางโรงพยาบาลเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า
6.เลือกความคุ้มครองเพิ่มเติม ที่จะได้รับ
นอกจากความคุ้มครองหลักแล้วสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องพิจารณาเพิ่มเติมก็คือความคุ้มครองอื่นๆ เช่น ค่าชดเชยในการนอนโรงพยาบาล ค่าชดเชยรายวัน ค่าทำฟัน เป็นต้น
เพราะเด็กเล็กมีโอกาสที่จะเจ็บป่วยง่ายกว่าผู้ใหญ่ โดยเด็กมีภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคต่างๆ ต่ำ การทำ ประกันชีวิตเด็ก ในรูปแบบประกันสุขภาพให้กับลูกจึงเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรพิจารณา เพราะถ้าลูกเจ็บป่วยก็จะสามารถรักษาได้โดยที่ไม่ต้องต้องกังวลว่าเงินจะไม่พอจ่ายนั่นเอง
= = = = = = = = = = = =
ติดตามความรู้ดี ๆ และสาระดี ๆ เพิ่มเติม สำหรับแม่ตั้งครรภ์ และลูกน้อย ได้ที่