การดูแลทารกนั้นเป็นเรื่องสำคัญเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องของอาหารการกิน ที่จะส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กเป็นอย่างมาก ไม่ต่างจากการฝึกให้เด็กทำกิจกรรมต่างๆ เลย แน่นอนว่าในเด็กวัยทารกหรือเด็กเล็กนั้น ย่อมมีวิธีการกินที่แตกต่างไปจากเด็กโตหรือวัยผู้ใหญ่อย่างแน่นอน วิธีการกินแบบ blw จึงถือเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับคุณแม่
กินแบบ blw คืออะไร
การกินแบบ blw นั้น เราต้องมาทำความเข้าใจวิธีการกินแบบนี้กันก่อน blw คือ Baby-Led Weaning ซึ่งเป็นการที่ฝึกให้เด็กได้จับอาหารด้วยตัวเอง โดยอาหารที่จะให้เด็กรับประทานนั้นก็จะต้องเป็นอาหารที่เหมาะสมกับวัยของทารก เช่น ผลไม้สุก เนื้อสัตว์ที่สามารถเคี้ยวและย่อยได้ง่าย ผักต้ม ไข่ต้ม เป็นต้น โดยจะเน้นไปที่อาหารที่มีลักษณะของเนื้อที่ละเอียด เพื่อที่ทารกจะสามารถรับประทานเข้าไปได้ง่าย และสามารถย่อยได้ง่ายด้วย เมื่อฝึกจนทารกเริ่มชินกับอาหารแล้ว จึงค่อยๆ เพิ่มความเนื้อสัมผัสที่แข็งขึ้นของอาหารตามลำดับ
blw เหมาะกับเด็กกี่เดือน
สำหรับการกินแบบ blw นั้น จะเป็นการฝึกที่เริ่มต้นในเด็กวัยตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป เพราะเด็กวัยนี้จะเริ่มมีฟันน้ำนมงอกขึ้นแล้ว ทำให้เด็กเริ่มรู้จักกับการอม การเคี้ยว และการกลืน อีกทั้งเด็กยังมีพัฒนาการมากขึ้น สามารถหยิบจับสิ่งต่างๆ ได้คล่องขึ้นแล้ว นอกจากนี้ ในเด็กวัยประมาณ 10 -12 เดือนนั้น คุณแม่ยังสามารถส่งเสริมพัฒนาการให้เด็กได้รู้จักกับการจับช้อนหรือส้อมได้ด้วย โดยอุปกรณ์ที่ใช้นั้นก็ควรเป็นอุปกรณ์สำหรับเด็ก ที่มีลักษณะเบา เหมาะกับขนาดมือของเด็ก เมื่อให้ตัวเด็กสามารถฝึกได้ง่าย อีกทั้งยังมีความปลอดภัยกับเด็กอีกด้วย
อาหารมื้อแรกควรให้ลูกกินอะไรดี
สำหรับเด็กทารกวัย 6 เดือนขึ้นไป ที่เริ่มมีฟันน้ำนม รวมไปถึงมีพัฒนาการมากยิ่งขึ้นแล้ว อาหารมื้อแรกที่ควรให้เด็กฝึกรับประทานเลย ได้แก่
- ฟักทองบดละเอียด ที่สามารถนำมาผสมกับนมแม่ได้
- ข้าวโอ๊ต ที่นำไปต้มหรือนึ่งจนสุก จากนั้นก็นำมาบดละเอียด แล้วนำมาผสมกับนมแม่
- กล้วยน้ำว้ากับข้างกล้องที่บดละเอียด แล้วนำมาผสมกับนมแม่
- เนื้อปลาที่ผสมกับแครอทและข้าว นำมาบดละเอียด
วิธีรับมือหากลูกกิน blw แล้วติดคอ
สำหรับคุณแม่ที่กังวลว่าลูกฝึกทานเองตั้งแต่ยังเล็กด้วยวิธีกินแบบ blw แล้วจะติดคอ หรือเกิดอันตราย ในส่วนนี้ก็มีข้อควรระวังอยู่เช่นกัน ได้แก่
- ในกรณีที่เด็กเกิดอาการสำลัก ไม่ควรล้วงคอ หรือใช้นิ้วมือล้วงเข้าไปเขี่ย เพราะอาจทำให้ไปดันเศษอาหารให้ลึกเข้าไปมากกว่าเดิม รวมไปถึงอาจทำให้อาหารติดคอเด็กได้
- หากเด็กเริ่มมีอาการสำลัก ไม่ควรที่จะลูบหรือตบหลังแรงๆ เพราะเมื่อเด็กเริ่มสำลักและไอ อาหารอาจจะออกมากับการไอด้วยกลไกธรรมชาติ แต่หากพ่อหรือแม่ตบหรือลูบหลังแรงเกินไป ก็อาจจะทำให้อาหารกลับลงไปอีกทั้งยังทำให้เสียจังหวะอีกด้วย
- วิธีการรับมือเมื่อลูกมีอาหารติดคอนั้น อาจเป็นวิธีการ CPR สำหรับเด็กวัยทารกที่มีอายุต่ำกว่า 1 ขวบ ทั้งนี้คุณพ่อและคุณแม่ควรมีการปรึกษากับแพทย์เพื่อได้รับการแนะนำ ทั้งวิธีการและท่าทางที่ถูกต้อง
เรื่องที่คุณแม่ควรรู้ เกี่ยวกับการกินแบบ blw
เมื่อเราได้ทราบว่า blw คืออะไร รวมถึงวัยที่เหมาะสมสำหรับการฝึกวิธีนี้กันไปแล้ว สิ่งที่คุณแม่ควรรู้ก่อนที่จะฝึกลูกด้วยวิธีกินแบบ blw ได้แก่
- วิธีการกินแบบ blw นั้น ก่อนที่จะเริ่มฝึกลูกด้วยวิธีนี้ ก็ควรที่จะฝึกให้เด็กสามารถที่จะนั่งได้ด้วยตัวเอง โดยสามารถนั่งหลังตรงได้ เพื่อป้องกันการสำลักอาหารได้ง่าย
- วิธีการนี้ ในช่วงเริ่มต้น คุณแม่ควรที่จะคอยดูอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งเด็กเริ่มมีความเคยเชิน และสามารถทำได้คล่องแคล่วขึ้นแล้วจึงค่อยๆ ละสายตา แต่ถึงอย่างไรก็ตาม แม้ว่าเด็กจะสามารถกินได้คล่องแคล่วแล้ว จนคุณแม่ไม่ค่อยคอยประกบอย่างใกล้ชิด แต่ทางที่ดีก็ควรดูเป็นระยะๆ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ หรือการสำลักอาหารที่อาจเกิดขึ้นกับเด็กได้
- อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นถึงวิธีการรับมือเมื่อลูกมีอาการอาหารติดคอ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทางที่ดีคุณพ่อคุณแม่ควรได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์ เพื่อที่จะได้ทราบวิธีการรับมือ รวมไปถึงลักษณะท่าทางเวลาที่ต้องช่วยเหลือลูกในเบื้องต้นด้วย
- การฝึกด้วยวิธีกินแบบ blw นั้น ต้องขอเน้นย้ำว่า ในเด็กวัย 6 เดือนขึ้นไป ที่เพิ่งเริ่มมีฟันน้ำนมงอกขึ้นมา อาหารที่คุณแม่จะให้ลูกทานนั้น ควรที่จะต้องบดละเอียด ระวังไม่ให้ลูกทานอาหารที่เสี่ยงที่จะติดคอ รวมไปถึงอาหารที่มีลักษณะแข็งจนเกินไป
- การทำความเข้าใจนิสัยของเด็กในแต่ละช่วงวัยเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเด็กเริ่มมีพัฒนาการ การเรียนรู้สิ่งต่างๆ เป็นธรรมดาที่เด็กอาจจะซน หยิบโน่นหยิบนี่ รวมไปถึงติดเล่น ไม่ยอมรับประทานอาหารง่ายๆ ผู้ปกครอง ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อหรือคุณแม่ ควรมีวิธีการรับมือที่ถูกต้อง เพื่อที่จะทำให้เด็กได้ฝึกพัฒนาการอย่างสมบูรณ์ที่สุด
และทั้งหมดนี้ก็คือวิธีการฝึกกินอาหารแบบ blw ที่เป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับการฝึกพัฒนาการในด้านการกินให้กับเด็ก สิ่งสำคัญก็คือ วิธีการนี้นั้นเหมาะสำหรับครอบครัวที่ค่อนข้างมีเวลาเลี้ยงดูเด็ก หรือผู้เลี้ยงดูควรมีความเข้าใจทั้งการเลือกอาหาร หลักการ รวมไปถึงการช่วยเหลือที่ถูกต้อง เพื่อที่จะช่วยเหลือและดูแลเด็กได้ตลอดการฝึกนั่นเอง
= = = = = = = = = = = =