คุณแม่ที่มีปัญหาประจำเดือนขาด อาจจะสงสัยว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์หรือไม่ การจะทราบผลอย่างแน่ชัดก็ต้องทำการตรวจครรภ์ก่อน โดยปัจจุบันนี้มีการตรวจการตั้งครรภ์ได้หลายวิธี ซึ่งมีวิธีไหนบ้าง และมีความแม่นยำมากแค่ไหน ก็ต้องไปดูกันเลย

4 วิธี การตรวจการตั้งครรภ์ มีอะไรบ้าง

เมื่อสงสัยว่าจะมีการตั้งครรภ์ การตรวจครรภ์ เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำเพื่อจะได้วางแผนการดูแลตนเองขณะตั้งครรภ์ได้ถูกต้อง สำหรับวิธีการตรวจมีด้วยกัน 4 วิธีคือ

1.ตรวจจากเลือด

การตรวจการตั้งครรภ์จากเลือด เป็นการตรวจที่ทำให้ทราบผลได้ค่อนข้างแม่นยำ ซึ่งวิธีการที่ทำให้ทราบผลเนื่องมาจากสามารถตรวจหาฮอร์โมน HCG ได้ดีกว่าการตรวจหาทางปัสสาวะที่ในคุณแม่บางรายตรวจแล้วไม่พบนั่นเอง โดยข้อดีของการตรวงครรภ์จากเลือด ทำให้ทราบผลการตั้งครรภ์ได้ทันที เหมาะกับคุณแม่ที่มีปัญหาการมีบุตรยาก รวมถึงคุณแม่ที่เคยมีประวัติการแท้งบุตรได้ง่าย ซึ่งการทราบผลเร็ว จะเป็นข้อดีของการวางแผนดูแลในระหว่างตั้งครรภ์ให้ปลอดภัยนั่นเอง

ความแม่นยำในการตรวจด้วยวิธีตรวจจากเลือด สามารถให้ผลตรวจที่ชัดเจนถึง 99.99 % โดยตรวจครรภ์ได้ตั้งแต่ 14 วันหลังจากมีการปฏิสนธิ เนื่องจากต้องตรวจด้วยห้องปฏิบัติการ และมีหลายขั้นตอนจึงทำให้ยังมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงอยู่บ้าง

2.ตรวจจากปัสสาวะในห้องปฏิบัติการ

การตรวจการตั้งครรภ์ด้วยปัสสาวะ ซึ่งเป็นวิธีการตรวจที่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือในห้องปฏิบัติการหรือเรียกว่าการตรวจแบบ ยูพีที (Urine Pregnancy Test)  จะตรวจในโรงพยาบาล หรือคลีนิกก็ได้ ซี่งส่วนใหญ่จะมีแพทย์หรือ เจ้าหน้าที่เทคนิคการแพทย์เป็นผู้แปลผลการตรวจให้คนไข้ทราบอยู่แล้ว หากผลตรวจแปลออกมาว่าเป็นบวก (Positive) หมายถึงมีการตั้งครรภ์ ส่วนผลที่เป็นลบ (Negative) แปลว่าไม่ได้ตั้งครรภ์

ความแม่นยำในการตรวจด้วยปัสสาวะจะมีความแม่นยำได้สูงถึง 99 % และสามารถตรวจได้ทันทีหลังประจำเดือนไม่มาประมาณ 14 วัน

3.ตรวจจากปัสสาวะตัวเองด้วยชุดทดสอบการตั้งครรภ์

เมื่อสงสัยว่าตัวเองน่าจะมีการตั้งครรภ์ เนื่องจากประจำเดือนขาด สิ่งที่ทำได้คือการไปซื้อชุดทดสอบการตั้งครรภ์มาตรวจ ซึ่งเป็นวิธีที่ทำได้ง่าย และหาซื้อได้ไม่ยาก สามารถซื้อได้ตามร้านขายยาและร้านสะดวกซื้อทั่วไป ซึ่งชุดทดสอบการตั้งครรภ์มีอยู่ด้วยกัน 3 แบบ

  • ที่ตรวจครรภ์แบบจุ่ม(Test Strip) เป็นวิธีการตรวจครรภ์ที่ใช้ได้ง่าย มีราคาถูก สามารถนำปัสสาวะใส่ถ้วยแล้วนำแผ่นตรวจครรภ์มาจุ่มลงในปัสสาวะโดยให้ด้านที่มีปลายลูกศรจุ่มอยู่ในปัสสาวะ ปล่อยทิ้งไว้ตามเวลาที่ระบุที่ฉลาก หลังจากนั้นจึงหยิบออกจากถ้วยปัสสาวะขึ้นมารออ่านผล
  • ที่ตรวจครรภ์แบบหยด(Pregnancy Test Cassette) การตรวจการตั้งครรภ์แบบนี้ประกอบด้วยอุปกรณ์ 3 อย่างในกล่อง คือที่ใส่ปัสสาวะ ตลับทดสอบ และหลอดพลาสติก ซึ่งสามารถหยดปัสสาวะลงในตลับทดสอบ แล้วรอเวลา 4-5 นาทีจึงอ่านผลได้
  • ที่ตรวจครรภ์แบบปัสสาวะผ่าน(Pregnanacy Midstream Tests) ที่ตรวจครรภ์แบบนี้จะมีหลอดที่จับสะดวกและมีปลอกคล้ายปากกา สามารถทดสอบโดยให้น้ำปัสสาวะผ่านบริเวณสำหรับดูดซับน้ำปัสสาวะ โดยให้ระดับที่เปียกน้ำปัสสาวะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าลูกศร หลังจากนั้นรออ่านผล

การแปรผล

หากมีขีดขึ้นมา 2 ขีด หมายถึงการตั้งครรภ์ ส่วนในรายที่ขึ้นมาเพียง1 ขีด แสดงว่าไม่ตั้งครรภ์ หรืออาจมีการแปรผิดพลาด ให้ทดสอบใหม่อีกครั้ง

4.ตรวจด้วยเครื่องอัลตราซาวด์

วิธีการนี้จะใช้คลื่นเสียงความถี่สูง(Ultrasound) ส่งไปยังเนื้อเยื่อต่างๆ บริเวณช่องท้อง หลังจากนั้นจะมีการประมวลภาพขึ้นมาซึ่งส่วนใหญ่จะทำการตรวจโดยสูตินรีแพทย์ โดยการตรวจการตั้งครรภ์วิธีนี้จะทำให้ทราบได้ว่ามีการตั้งครรภ์หรือไม่โดยสามารถตรวจได้ดังนี้

  • ตรวจดูว่ามีการตั้งครรภ์
  • ดูเพศของทารก
  • ทราบจำนวนทารกว่ามีกี่คนเป็นแฝดหรือไม่
  • กำหนดอายุครรภ์ที่แน่นอน
  • วินิจฉัยความผิดปกติของทารกในครรภ์
  • ทราบตำแหน่งรกและปริมาณน้ำคร่ำ
  • ทราบถึงความผิดปกติของมดลูกและรังไข่
  • หากมีความผิดปกติอื่นๆ เช่นเนื้องอก จะสามารถวางแผนในการรักษาได้

วิธีการตรวจครรภ์ด้วยการอัลตร้าซาวด์สามารถตรวจได้ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์

อาการแบบไหน มีแนวโน้มว่าอาจตั้งครรภ์

อาการของคุณแม่ที่กำลังจะตั้งครรภ์จะแสดงออกมาได้แตกต่างกัน ซึ่งในแต่ละคนอาจจะมีอาการบางอย่างที่ร่างกายแสดงออกมาในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกดังนี้

Sponsored

1.ประจำเดือนขาด

หากประจำเดือนที่เคยมาเป็นประจำทุกเดือน ไม่มาเกินกว่า 10 วัน ให้สงสัยไว้เลยว่าอาจมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น ซึ่งทำการตรวจการตั้งครรภ์ได้เลย โดยควรตรวจครรภ์เมื่อไหร่ดี คลิกที่นี่

2.มีตกขาวมากผิดปกติ

มีอาการตกขาวมากขึ้นหลังจากตั้งครรภ์ เนื่องจากฮอร์โมนได้ปรับตัวสูงขึ้น

3.มีเลือดซึมออกทางช่องคลอด

เมื่อมีการปฏิสนธิเกิดขึ้น จะทำให้มดลูกมีการปรับตัว เพื่อให้ตัวอ่อนฝังตัว จึงทำให้มีเลือดออกจากช่องคลอดได้เล็กน้อย ซึ่งจะเรียกว่าเลือดล้างหน้าเด็กนั่นเอง

4.เต้านมมีการเปลี่ยนแปลง

เต้านมขยายและลานนมจะมีสีเข้มขึ้น เนื่องจากมีฮอร์โมนจากรก และรังไข่ผลิตออกมามากขึ้น

5.ปวดหัว หรือเวียนศีรษะ

เมื่อตั้งครรภ์ จะทำให้ฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลง จนทำให้ร่างกายมีกายปรับตัวมากขึ้น จนทำให้ของเหลวในร่างกายเกิดความไม่สมดุล จึงทำให้มีอาการปวดหัวได้

นอกจากนี้ยังทำให้มีอาการท้องผูก หรือท้องอืดได้ง่าย รวมถึงมีอาการปวดหลัง และปัสสาวะบ่อยขึ้นด้วย ดังนั้นการตรวจการตั้งครรภ์แต่เนิ่นๆ ด้วยวิธีต่างๆ ตามที่กล่าวมาแล้วนั้น ก็จะทำให้รู้ผลเร็ว และสามารถดูแลสุขภาพตัวเองได้อย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุด

= = = = = = = = = = = =

ติดตามความรู้ดี ๆ  และสาระดี ๆ เพิ่มเติม สำหรับแม่ตั้งครรภ์ และลูกน้อย ได้ที่ www.konthong.com หรือ ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน ได้ที่
https://www.facebook.com/teamkonthong/

We promise to provide the knowledge and know-how for new mom. More and more solutions about how can you grow up your baby. Feel free to contact us if any problems have occurred or have any questions you would like to know. Don’t forget to follow and keep in touch with us on Facebook

https://www.facebook.com/teamkonthong/

บทความน่ารู้ เพิ่มเติม คลิกเลย …..

1.15 วิธีผ่อนคลาย ความเครียดในคนท้อง จะรับมืออย่างไร

2.7 อาหารแก้เครียด ที่แม่ท้องควรกิน เช็คสิมีอะไรบ้าง